จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ชำแหละหุ้นร้อนแรงตัวที่ห้า HMPRO














HMPRO คือหุ้นที่นักลงทุนแนว VI รายเล็กรายน้อยฮิตมากที่สุด ต้องมีติดพอร์ตไว้ทุกคน
ประดุจยาสามัญประจำบ้าน กลยุทธ์คือขายของเกี่ยวกับบ้าน และมีครบทุกอย่าง
ขยายสาขาไปทั่วประเทศ ให้ทั่วทุกภูมิภาคของไทย และมีแผนจะไปต่างประเทศ AEC
เจ้าของใช่ใครที่ไหน คนดังอสังหาฯ คุณอนันต์ อัศวโภคิน แห่ง แลนด์ แอนด์ เฮาส์
ที่น่าจะขายบ้านจัดสรรไปมากๆเข้า เลยทราบว่าลูกค้าพอซื้อบ้านไปแล้ว นี่เข้าไปอยู่เลยไม่ได้
มันต้องมีผ้าม่าน เฟอร์นิเจอร์ ของใช้โน่นนี่นั้นอีกหลายอย่าง คุณท่านก็เลยจัดให้วางขายใน HMPRO
และบ้านสัก 10 ปี เนี่ยะ มันก็ต้องแต่ง ซ่อม ต่อเติม ท่านก็จัดหาให้ มีครบทุกอย่างใน HMPRO
นั่นคือข้อดี       ข้อเสียล่ะ ?
ข้อเสียก็คือ การทำการขายของเฉพาะทางแบบนี้ตลาดยังไม่กว้างมาก นานๆคนจะซ่อมบ้านที
 หรือเฟอร์นิเจอร์ชุดนึงซื้อไปก็ใช้ได้เป็นสิบๆปี มันไม่เกิดการซื้อซ้ำ หรือซื้อซ้ำก็ไม่บ่อย
 รอบการหมุนเร็วมักไม่เกิดขึ้น ทำให้รายได้โตช้า  วิธีแก้ไขก็คือขยายสาขาเยอะๆจะทำให้หุ้นดูเหมือน Growth คือเติบโตเร็ว


มีคู่แข่งที่ขายของคล้ายๆกันอยู่ ยืนเด่นเป็นขวากหนาม  ก็คือ GLOBAL และ ไทวัสดุ
แต่เปรียบเทียบแล้วต้องบอกได้ว่าลูกค้าคนละตลาดกัน อันนั้นจะออกแนวผู้รับเหมาซื้อไปมากกว่า
แต่ HMPRO จะดูเป็นกลุ่มลูกค้าทำบ้านตัวเอง ไม่ใช่เชิงพาณิชย์
เหมือน MAKRO กับ BIGC ที่เน้นขายมากๆกับขายปลีก
ด้วยความที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูง นิยมปันผลเป็นหุ้น และเก็บเงินสดไว้เพื่อขยายสาขา
แถมยังมีความพยายามในการสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง ตอนนี้ออกมา 36 แบรนด์แล้ว














ถามว่าดีไหม ก็ตอบว่าดี แต่ผมไม่รู้จักเลยในรูปภาพข้างบน สินค้าที่โฮมโปรพยายามสร้างแบรนด์เอง นอกจาก MOYA ดังนั้นงานในการสร้างสินค้าของตัวเองนั้นยังถือว่าสอบตก

ตอนนี้HMPROมีสาขาในประเทศประมาณ 50 กว่าสาขา มีสาขาในมาเลเซีย 1 สาขา
ประเด็นอยู่ทีเมื่อมีสาขามากจนครอบคลุมกลุ่มตลาดของตนเองทั่วทั้งประเทศแล้ว
เมื่อถึงทางตัน เมื่อไม่ทราบจะไปขยายสาขาที่ไหนแล้ว หรือตลาดโตไม่ทัน หรือ เป็นช่วงตกต่ำของอสังหาริมทรัพย์ ไม่ค่อยมีคนซื้อบ้าน เมื่อนั้น นักลงทุนแนว VI จะคิดว่าอย่างไร
ก็ต้องมาติดตามกันว่า คอขวดที่ว่านี้ โฮมโปรวางแผนแก้ไขอย่างไรในอนาคต 5-10 ปี
ส่วนตอนนี้ต้องถือว่าดีทีเดียว  ถ้าไม่คำนึงถึงค่าความถูกความแพงที่มี PE = 46 , P/BV = 12

ผมอาจจะยังคาดไม่ถึง หรืออาจจะมองไม่เห็น ว่าหุ้นตัวนี้จะเป็นหุ้นคุณค่าอย่างไร
ถ้าใครมีข้อมูลหรือมุมมองอะไรดีๆ
ช่วยมาแชร์ให้ทราบด้วยนะครับ เผื่อจะตาสว่างเก็บเข้ามาในพอร์ตกับเขาบ้าง ^^

สำหรับวันนี้ กระผมขอลาไปก่อน พบกับ

Find Stock by Natural Style

ได้ใหม่ ในวันถัดๆไปครับ  สวัสดีครับ พี่น้องชาวไทย











วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ชำแหละหุ้นร้อนแรงตัวที่สี่ BROOK







                                          สวัสดีครับพี่น้องชาวไทย

         กลับมาพบกันอีกครั้งกับ Nature Stock วิเคราะห์หุ้นแบบสไตล์ธรรมชาติ 

  กันอีกครั้งนะครับ

         วันนี้ เรามาพบกับหุ้นที่ มาแรงมากๆตัวหนึ่ง ประดุจพระเอกหน้าใหม่ในวงการบันเทิง

เจมส์ จิรายุ วัย 19 ขวบ  ที่รับบทคุณชายพุฒิภัทร  ในละครเรื่อง สุภาพบุรุษจุฑาเทพ 

 จึงทำให้ผมต้องเร่งหาข้อมูลมาให้ พวกเราชาวนักลงทุนได้เสพย์ได้อ่านกัน

 เผื่อว่าดีมากๆ อาจจะหาจังหวะเข้าทำคะแนนกันก็ได้นะครับ 

 หุ้นตัวนั้นก็คือ  BROOK  บริษัทบรุ๊คเกอร์กรุ้ป จำกัด มหาชน

บริษัทนี้หลักๆก็ทำหน้าที่เกี่ยวกับเป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน หาแหล่งเงินทุนนะครับ 

โดยหลังๆก็มีการขยายงานไปทางซื้อขายอสังหาริมทรัพย์บ้าง 

ได้รายรับจากการเป็นนายหน้าบ้าง แต่ไม่สุดครับเล็กๆน้อยๆ

หลักๆก็มาจาก Core Business ทางด้านเป็นที่ปรึกษาธุรกิจและการเงินนั้นแหล่ะ

โดยมีเจ้าของบริษัท นามสกุลดัง  เศรษฐีเมืองไทย "บูลกุล"  บริหารงานอีกแล้วครับท่าน 

เอิ่ม...(ไม่ใช่พระราม9คาเฟ่นะ อิอิ) 

          จากการค้นคว้าวิจัยของผมพบว่า

          Brook นั้น มีความสามารถพิเศษที่แปลงร่างบริษัทที่กำลังจะล้มหายตายจากไปจาก Set Index

กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ดังผีเสื้อโบยบิน ว่ากันแล้ว  งานที่เค้าทำคือ คุณหมอ นั่นเอง แต่เป็นหมอรักษา

ธุรกิจ กิจการต่างๆ ด้วยไม่ว่าจะสารพัดวิธีการ ของคนเป็นหนี้หนัก  อาการที่มาถึงเรียกได้ว่าร่อแร่แล้ว 

รอแอตมิตอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างของหนี้  การประนอมหนี้กับเจ้าหนี้ การเจรจาต่อรอง

หนี้ การเจรจาต่อรองการพักหนี้ หรือการชะลอการชำระหนี้ ตรวจสอบคุณภาพของกิจการ

 เปรียบเสมือนการวินิจฉัยโรค  เสร็จแล้วก็ให้ยา ด้วยการหาแหล่งเงินทุนใหม่ๆให้ ซึ่งแหมๆ ใครมันจะไป

อยากให้เงินคนที่เป็นหนี้หนักมากยืมล่ะ ?  ที่เค้าให้มานะเค้าเชื่อใจหมอ เอ้ย Brook ก็อย่างว่าคนเครดิตดี

ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด (บูลกุล) 


            หลังจากที่อะไรต่อมิอะไรดีขึ้น อาการดีขึ้น อ้ะ!! ลืมไปเรามันจน เรามันหนี้เยอะนี่นา เราจะเอา

อะไรไปจ่ายค่ารักษากับคุณหมอเทวดา แห่ง โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ล่ะนี่ เอาว่ะ แจกหุ้นก็ได้ว่ะ นั่นคือ

ที่มาของกำไรมหาศาลที่จะได้รับทางบัญชี หุ้นเน่าที่หากเทิร์นอะราวด์ขึ้นมา ราคาจะพุ่งขึ้นติดลมบนฟ้า

ดุจพญานกฟินิกซ์ทะยาน นั่นเป็นที่มาของรายรับ ที่ควอเตอร์ 1 ปี 2556 เพิ่มขึ้นกว่า 388 เปอร์เซ็นต์เมื่อ

เปรียบเทียบกับปี 2555 จาก 112 ล้านบาท เป็น 548 ล้านบาท

            ส่วนบริษัทที่เอาเงินมาให้เขาก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว ดีกว่าเหลาเจ๊งอ่า  GJS กับ GSTEL

นั่นเอง แค่ค่าตอบแทนงวด5 พี่GSTEL จ่ายมา 368 ล้านหุ้น หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นตัวเงินเหนาะๆ

ก็  184 ล้านบาทเอง แต่ได้เป็นหุ้นอ่ะ ทำไมล่ะก็ไม่มีเงินจ่ายค่าหมออ่ะ เอามะพร้าวที่สวนไปก็ละกัน

ประเด็นอยู่ที่ เมื่อไหร่ก็ตามที่มะพร้าวราคาแพงขึ้นมา หุ้น BROOK ก็จะวิ่งไปข้างหน้าเช่นกัน

           ยัง ยังไม่พอ

           เมื่อเงินสดบริษัทมีมากๆ ไม่ทราบเอาไปทำอะไร พี่บรุ๊คยังเอาไปเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ด้วย

คือต้นทุนขาย เค้ามีนิดเดียวไงครับ ต้นทุนขายเป็นสมอง เป็นความคิดซะส่วนใหญ่

ดังนั้นกำไรมาก็เหลือเก็บเป็นเงินสดล้วนๆ  รวย อ่ะ ว่ากันง่ายๆ เป็นถึงหมอเทวดาก็ต้องรวยสิเธอ

ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนที่สนใจในหุ้นตัวนี้ จะต้องจับตามองกันต่อ คือ งบการเงิน GJS และ GSTEL

อารมณ์ประมาณ ผมรวย หมอก็รวย และภาพรวมทางเศรษฐกิจ  ซึ่งจะเป็นตัวแปรหลักๆ กับความร่ำรวยของ

นักลงทุนและหากจะมองกันในระยะยาวแล้ว ก็ต้องดูต่อไปอีกว่า จะรับงานรักษาโรคแบบนี้

ให้กับใครอีก ซึ่งหากไม่มีลูกค้าเข้ามาอีก รายรับมันก็จะลดลงในงบการเงินได้ในปีต่อๆไป

ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาดูกันต่อไป


         สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน หวังว่าทุกท่านคงจะสนุกเพลิดเพลินกับงานเขียนของผม

 พบกันใหม่ตอนต่อไป  สวัสดีครับ



          
         











วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ชำแหละหุ้นร้อนแรง ตัวที่สาม GUNKUL

GUNKUL  ENGINEERING ทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร ??



ตอบแบบง่ายๆเลยคือ ธุรกิจพลังงานทดแทน แบ่งเป็น2 รูปแบบ ได้แก่ พลังงานลม
และ พลังงานแสงอาทิตย์

รายได้หลักของบริษัทมาจาก .........

หนึ่ง มีรายได้จาก การผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เกี่ยวกับไฟฟ้าพลังงานทดแทน

ทั้้งที่ซื้อมา - ขายไป และผลิตเอง -ขายเอง

สอง มีรายได้จาก การผลิตและจำหน่ายขายไฟให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์

สาม มีรายได้จาก การรับเหมาก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์

อันที่สามนั้นสำคัญ กว่าครึ่งหนึ่งของรายได้บริษัท  มาจากธุรกิจนี้

ทีเด็ดของหุ้นตัวนี้ก็คือ ** มีไฟฟ้าขายให้การไฟฟ้าทำสัญญาไป 31 เมกกะวัตต์ (เมกกะ = 1ล้าน)

แต่ว่าตอนนี้ทำเสร็จและรับรู้รายได้ไปเพียง 7.5 เมกกะวัตต์ จะทะยอยรับรู้รายได้จาก 23.5 เมกกะวัตต์

ที่เหลือนั้นในปี 2556



แต่ เดี๋ยวก่อน....

คุณเห็นรหัสลับอะไรไหม

7.5 MW =  รายได้จากการขายไฟฟ้าปี55 = 168.8 ล้านบาท 


หากใครเก่งคณิตศาสตร์  ลองเทียบบัญญัติไตรยางค์ดู

ว่า 23.5 MW จะเท่ากับเท่าไหร่  ???
.
.
.
เฉลย 528.9  ล้านบาทจ้า  และเมื่อรวมกับ 168.8 ล้านบาทเดิม (ซึ่งก็ไม่ได้ไปไหน)

จะเป็น เท่ากับ  แต่นแต๊นนนน  697.7 ล้านบาท






โดยที่รายได้จากการขายไฟฟ้าพลังงานทดแทนนั้น ไม่ต้องห่วงว่ามันจะลดลง

รัฐบาลและกระทรวงพลังงานเค้ามีนโยบายส่งเสริมให้ 

โดยมีการรับซื้อไฟเพิ่ม 3.50 บาท  รวมเป็น 8 บาทต่อหน่วย---> กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง

เป็นเวลา 10 ปี  (หลัง 10 ปี ค่อยว่ากันนะครับดูกันไปทีละขั้นตอน) 

ของแถมจากรัฐบาล  ได้สิทธิพิเศษด้านภาษีจาก BOI คือ ...ไม่เสียภาษี 8  ปี

ดูๆแล้ว อนาคตดี...  แต่จุดที่น่ากังวลมีอยู่นิดนึงคืองานรับเหมาก่อสร้างโรงไฟฟ้านั้น 

ยังจะต้องมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ลดลงจากเดิม (Backlog)

ไม่งั้นแล้วแม้จะบวกรายได้ที่เพิ่มขึ้นมา จากการขายไฟฟ้านี้ก็อาจจะทำให้รายได้รวมของบริษัท

ลดลงได้

ประเด็นคือ หุ้นนี้ดีระยะยาว ให้คอยสังเกตมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามารับเหมาก่อสร้าง

โรงไฟฟ้าแข่งกันหรือไม่ และ ผลกระทบมากหรือน้อย เท่านั้นเอง


 

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ชำแหละหุ้นร้อนแรงตัวที่สอง BGH

ผมคิดว่าความร้อนแรงของหุ้น BGH เป็นสิ่งที่ค่อนข้างน่าแปลกใจ หากเทียบกับกำไรของหุ้นที่มองเห็นจากงบการเงิน Q1-2013 ที่มีกำไร 1,948 ล้านบาท ซึ่งกำไรเริ่มคงที่เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรปี 2012 หาร 4 ควอเตอร์


  ดังนั้นความน่าสนใจของหุ้นเริ่มลดลงไปเมื่อกำไรที่แท้จริงโชว์ผลประกอบการตามสิ่งที่ควรจะเป็น
  กำไรไม่ได้วิ่งแรงตามราคาหุ้น  ดังนั้นเป็นราคาในอนาคตที่ยังคงไม่แน่นอน ราคาที่สูงขึ้นน่าจะมาจาก  
  การเข้าเทคโอเวอร์กิจการโรงพยาบาล ของกลุ่มทุน ที่จำเป็นจะต้องดันราคาให้สูงขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่า
   ตามมาร์เก็ตแคป

  อย่างไรก็ดี หุ้นตัวนี้ถือว่ามีกำไรที่ดีและสม่ำเสมอ เนื่องจาก โรงพยาบาลถือเป็นปัจจัยสี่ของมนุษย์ที่
  หลีกเลี่ยงความเจ็บป่วยไม่ได้

  ความเสี่ยงอยู่ที่เมื่อไรก็ตามที่เศรษฐกิจไม่ได้ดีแบบตอนนี้ ถึงตอนนั้นคนที่ไม่มีเงินมากมาย จะยังอยากเข้า โรงพยาบาลของรัฐบาลอยู่หรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่น่าคิด  และหากรัฐบาลผลักดันให้ โรงพยาบาลของรัฐมีบริการที่ดีทัดเทียมโรงพยาบาลเอกชนเมื่อไหร่ เมื่อนั้นกำไรของหุ้นตัวนี้อาจแปรเปลี่ยนไปได้เสมอ
ซึ่งแนวโน้มก็เริ่มจะเป็นเช่นนั้นแล้ว

    เมื่อเข้าสู่การเปิดเสรีอาเซียน การคาดหวังให้ภูมิภาคนี้เป็น"เมดิคอลฮับ" อาจจะไม่ใช่โรงพยาบาลที่อยู่ในเครือ BGH ก็เป็นได้

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ชำแหละหุ้นร้อนแรงตัวที่หนึ่ง AOT






จากกราฟจะเห็นว่ายังคงเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจนมากสำหรับ AOT
ผลพลอยได้จากการเปิดขยายพื้นที่ทำกินไปยังสนามบินดอนเมือง
การจัดเก็บค่าเช่าได้มากขึ้น จากร้านค้ามากมาย ดิวตี้ฟรีหรือโรบินสัน
เดอะมอลล์ 

นอกเหนือจากนั้นยังได้อานิสงจากนักท่องเที่ยวชาวจีนที่แห่กันเข้ามา
เที่ยวเมืองไทยประดุจว่าบินฟรี หลายครั้งท่ืผมเดินทางผมจะพบเสมอว่า
คนจีนนั้นมีมากมายในเครื่องบินของแอร์เอเชียกว่า 70% อย่าให้จินตนาการเลยว่า
จีนนั้นมีประชากรแค่ 1% คิดเป็นกี่ล้านคน รวมกับภาพยนต์ทำเงินล้านของจีนที่ชื่อว่า
lost in Thailand ทำให้เกิดการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยได้ดีกว่าแคมป์เปญของททท.
เสียอีก

ไหนจะค่าธรรมเนียมค่าภาษีสนามบิน งานนี้ AOT มีแต่ได้กับได้อย่างเดียว 
เรียกได้ว่าอยู่เฉยๆก็รวย เพราะแทบไม่ได้ลงทุนอะไรเพิ่มสักเท่าไหร่เลย
เป็นหุ้นที่มากับดวง เหมือนคนดวงดีอะไรแบบนั้น
สนามบินก็ใช้ของเดิม ยังมาหารายได้ได้มากขึ้นอีก สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ
รัฐบาลก็ลงทุนให้อีก

สิ่งที่ต้องระวังก็คือหาก AOT มีเงินสดในมือมากๆ อาจจะหาเรื่องในการขยายปรับปรุง
ในเรื่องที่ไม่สมควรเพื่อหาเหตุแห่งการใช้เงิน แต่ถ้าจำนวนเงินนั้นยังไม่มากพอจนกระทบผล
การดำเนินงานทั่วไป ความร้อนแรงคงยังไม่สามารถหยุดยั้งได้ง่ายๆ

เด้งสุดท้ายที่ผมอยากจะเสริมคือ การเปิดเสรีอาเซียน ที่จะทำให้มีการเดินทางโดยเครื่องบินมากมาย
ในประเทศสมาชิก การโยกย้ายหาที่ทำมาหากินใหม่ๆของแรงงานต่างชาติ จะมีเพิ่มมากขึ้น
อย่างน้อยๆก็จนกว่ารถไฟความเร็วสูงนั้นจะสร้างเสร็จ จนกลายเป็นตัวเลือกใหม่



แนะนำตัวก่อน ว่าทำไมต้อง Find Stock by Natural Style

สวัสดีครับ บล็อกนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับหุ้น ที่มีอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อใช้มุมมอง
ในการวิเคราะห์หุ้นแนวใหม่ ซึ่งตัวผมเองนั้นก็ไม่ทราบว่ามันจะใหม่หรือไม่ หรือมี
นักลงทุนท่านใดลองใช้วิธีตรวจสอบคุณภาพของหุ้นแบบนี้บ้างหรือยัง นักลงทุน
หลายท่านอาจจะใช้พื้นฐานกิจการ ดูค่า PE , PBV หรืองบการเงินกิจการ ส่วนบาง
ท่านก็อาจจะใช้กราฟแท่งเทียน หรือฟิโบนันซ่า RSI, MACD ,  Stochastic มา
พิจารณาเข้าเลือกซื้อหุ้น หรือลงทุนในหุ้น ซึ่งทั้งหมดก็เพื่อเป้าหมายที่วางไว้  บางคน
วางไว้ว่าต้องมีผลตอบแทน 10% ต่อปี บางคนวางไว้ถึง 20% ต่อปีเลยทีเดียว

ส่วนมุมมองหุ้นแบบที่ว่านี้ มันอาจจะถูก อาจจะผิด ก็ไม่ทราบได้ นอกเสียจากว่าจะลองลงมือ
ปฎิบัติกันจริงๆ แต่ในความเชื่อมั่นของผม อย่างไรมันต้องดีกว่าคิดตามๆกันหมดแน่นอน

มีนิทานเรื่องหนึ่งให้ข้อคิดที่ดีมาก เกี่ยวกับการคิดตามๆกัน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว....
มีชาวบ้านปลูกยางพาราที่ภาคใต้ของประเทศแห่งหนึ่ง
อยู่มาวันนึง ก็มีคนมาให้ราคายางพาราแพงมากๆ
จากกิโลละไม่กี่สิบ ได้ราคาเป็นหลักร้อย
ทำให้ชาวบ้านที่ปลูกยางพารานั้นรวยกันยกหมู่บ้าน
แถบนั้นเลยทีเดียว ข่าวนี้โด่งดังไปถึงหมู่บ้านข้างๆ
ทำให้ชาวบ้าน หมู่บ้านข้างเคียงที่ปลูกมันสำปะหลังอยู่
ต่างก็หันมาปลูกยางพาราบ้าง เมื่อมีผลผลิตที่มากขึ้น
แต่ความต้องการยางพาราไม่ได้เพิ่มแบบก้าวกระโดดตาม
พื้นที่เพาะปลูกที่เพิ่มขึ้น ราคายางพาราเริ่มลดลง
สุดท้าย ชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านก็กลับไปใช้ชีวิตยากจนดั่งเดิม

หวังว่าท่านผู้อ่าน คงจะได้มุมมองอะไรมากขึ้นจากนิทานเรื่องนี้นะครับ