จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เบิกขุมทรัพย์ลับ Q HOUSE

สวัสดีกันอีกครั้งนะครับ

กับบล็อกแนวนักลงทุนหุ้น ค้นหาหุ้นสบายๆสไตล์ธรรมชาติ

วันนี้ SET ทะยานไป 40 จุดทีเดียว ปิดไปที่  1424 จุด เอาชนะแนวต้านแรกได้ที่ 1420 จุด

วันนี้เราจะมาพูดถึงขุมทรัพย์ลับที่ไม่ปรากฏในมูลค่าหุ้นนะครับ

มันคือส่วนของกิจการ การเงินที่ไปลงทุนในกิจการอื่นๆ แต่ถือครองความเป็นเจ้าของไว้

มูลค่าความเป็นเจ้าของไม่ได้ปรากฏในงบการเงินอย่างชัดเจน ต้องไปค้นข้อมูลมาเพิ่มและมาคำนวณ

จึงจะปรากฏความจริงบางอย่างให้เห็น

วันนี้ผมค้นหามาได้ตัวหนึ่ง นั่นก็คือ QH

เรามาดูกันนะครับว่าเป็นอย่างไร

รูปที่ 1













จากรูปที่ 1 ในตาราง แถว A เราจะเห็นว่า
หุ้น Land & House มีจำนวนหุ้น ประมาณ 10,000 ล้านหุ้น
หุ้น HMPRO มีจำนวนหุ้น ประมาณ 8,200 ล้านหุ้น
และหุ้น QH มีจำนวนหุ้น ประมาณ  9,200 ล้านหุ้น

แถว B คือราคาต่อหุ้น  แถว C คือมูลค่าตลาด C คำนวณจาก B x A นั่นเอง
แถว D คือราคาทางบัญชี และแถว E คือมูลค่าตลาดจากราคาทางบัญชี ดังนั้น E เท่ากับ A x D

รูปที่ 2














แถว E ในรูปที่ 2 มาจากเปอร์เซ็นต์ความเป็นเจ้าของในการถือครองกิจการหุ้น HMPRO
ซึ่ง Land & House ถือครอง HMPRO อยู่ ประมาณ 2,100 ล้านหุ้น
และ Q House ถือครอง HMPRO อยู่ ประมาณ 1,400 ล้านหุ้น
จะเห็นได้ว่า Q House ถือครองน้อยกว่า Land & House ค่อนข้างมาก

แถว F ในรูปที่ 2 คือมูลค่าหุ้น HMPRO ที่เกิดจากราคาต่อหุ้นปัจจุบัน (ดูแถว B) ดังนั้น F = E x B
แถว G คือมูลค่าหุ้น HMPRO จากราคาต่อหุ้นทางบัญชี (ดูแถว D ) ดังนั้น G = E x D
โดยที่ค่าในวันที่ทำการคำนวณนั้น มีค่า PE และ ค่า P/BV ตามแถว H และ แถว I ในรูปที่ 2


รูปที่ 3


ดังนั้น จากการคำนวณข้างต้น เี่ราจะสามารถหามูลค่า ราคาแฝง ที่ไม่ได้แสดงให้เห็นในมูลค่าหุ้น
จากรูปที่ 3 แสดงให้เห็นว่า
ราคาแฝงจาก Land & House = 2.44    บาท ต่อ หุ้น
และ ราคาแฝงใน Q House = 1.74   บาท ต่อ หุ้น
(คำนวณจาก  เอาค่าในแถว F หารด้วยแถว A )

ซึ่งจำนวน ราคาแฝงจากหุ้น Land & House 2.44 บาทต่้อหุ้น แต่จะมีมูลค่าเพียง 0.27 บาท เท่านั้นหากคิดตามมูลค่าทางบัญชี เช่นเดียวกันกับ Q House จะเหลือเพียง 0.20 บาทต่อหุ้น (จากมูลค่า 1.74 บาท)
ในเมื่อมีความเสี่ยงด้านราคาที่ขึ้น ลง ผันผวน เราจึงมาหาค่าแบบ 3 กรณี
คือ แบบที่1กรณีดีที่สุด  แบบที่2 กรณีที่ดีปาานกลาง และแบบที่ 3 กรณีที่เลวร้ายที่สุด
จะมีมูลค่าตาม แถว K L และ M ดังแสดงในรูปที่ 3

ดังนั้นจากกรณีนี้ หากเราพิจารณาซื้อหุ้นจากกรณีนี้ ถ้าพิจารณาเฉพาะด้านตัวเลขเพียงอย่างเดียว
ก็สมควรที่จะเลือก QH เพราะมีโอกาส เพิ่มมูลค่าไปได้ถึง 4.70 บาท มีอัพไซด์ถึง 59 % ทีเดียว
ในขณะที่ LH จะเพิ่มมูลค่าไปได้เพียง 12.74 บาท คิดเป็นอัพไซด์  24 % เท่านั้น





































แต่ในทางกลับกัน Land & House ก็มีส่วนความเป็นเจ้าของ QH  อยู่หากมูลค่า QH เพิ่มสูงขึ้น
Land & House ก็จะได้ประโยชน์ไปด้วย  ตามสัดส่วนความเป็นเจ้าของ ซึ่งก็คงไม่มากเท่ากับการเติบโตของ QH

ยกตัวอย่าง หาก L&H ถือครองความเป็นเจ้าของ QH 20%
หากมูลค่าหุ้น QH เพิ่มไป 60%
L&H จะมีมูลค่าเพิ่มตามเพียง 12%  (มาจาก 0.20 x 60%)
เมื่อไปหารจำนวนหุ้นที่มีมากถึง 10,000 ล้านหุ้น อาจจะเหลือเป็นมูลค่าหุ้นไม่กี่บาท เท่านั้น

QH แม้จะมีเงินปันผลเฉลี่ยต่อปีน้อยกว่า แต่ก็เป็นอัตราน้อยกว่าที่ไม่มากนัก
ในขณะที่โอกาสเติบโตนั้นสูงกว่ามาก
















วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ในวิกฤตมีโอกาส....จริงหรือ ??




จากการที่ SET index ปรับตัวลงมาอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาไม่กี่วันนี้นั้น
ทำให้นักลงทุนรายย่อยที่เพิ่งเข้าตลาดขาดทุนเป็นอันมาก
การที่หุ้นลง มาจากการที่เงินทุนของต่างชาติขายหุ้นเพื่อนำเงินลงทุนในหุ้นออกไป
คาดการณ์ว่า มีหลายสาเหตุที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันโดยไม่ได้นัดหมาย
1. เป็นช่วงที่ต่างชาติขายหุ้น เอาเงินคืน เป็นปกติอยู่แล้วทุกปี
2. FED ตัดสินใจจะยกเลิก QE3 โดยการชะลอการอัดเงินเข้าระบบ เริ่มปลายปีนี้
    และจะไปจบเอาปีหน้า  เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะกลับมาดีแล้ว
3. รัฐบาลประกาศลดดอกเี้บี้ยนโยบาย เป็นผลให้บาทอ่อนตัวลง
4. ตลาดหุ้นทั้งโลกก็ย่ำแย่เหมือนกัน  โดยเฉพาะ ตลาดหุ้น 3 แฝดอาเซียน
แหม่.. มันช่างมาบรรจบกัน3-4สาย ดังแม่น้ำ ปิง วัง ยม น่าน บรรจบกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา
บรรจบตัวไขว้เป็นจุด "Golden cross" (แต่ว่าครอสลงนะ ^^ )

ถามว่า หุ้นที่ลงมาแรงๆวันนึงเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์หลายๆวันนั้นมันสมเหตุสมผลหรือไม่
ตอบว่า  "ไม่"
สมมติ คุณขายของอยู่ที่จตุจักรมีเงินได้ 100 บาทเหมือนเดิมทุกๆวัน
แต่ เงินทุนคุณลดลงวันละ 7-10%  มันไม่สมเหตุผลเพราะยอดขายก็ยังเหมือนเดิม
เผลอๆดีกว่าเดิมด้วย
แต่คิดอีกที ถ้าร้านแผงลอยของคุณ  มูลค่าทั้งแผง 30,000 บาท โดนประเมินว่า ขายดีในจตุจักร
เป็นแบบนี้ มันน่าจะมีราคาประเมินซัก 65,000 บาท จะประเมินวิธีคิดอย่างไรก็ได้ หาเหตุผลมาอ้างกันไป
ราคาที่ลดลงวันละ 10% คือ 10%ของ 65,000 หาใช่ 10%ของ 30,000 บาทไม่...
ดังนั้นถ้าจะขาดทุน ก็คือขาดทุนกำไรใช่หรือไม่


บริษัทดีๆ อย่างพวกค่ายมือถือ มีแต่กำไรเพิ่มขึ้น และมีช่องทางการดูดเงินจากผู้บริโภคมากมาย
แต่...
หากพิจารณาดีๆ ราคาหุ้นก็ได้ปรับตัวสูงมากเกินไปแล้วเช่นกัน
ของดี .. ไม่ถูก...  อีกต่อไป
ติ๋มซำ เจ้านึง อร่อยมากมาย แต่ขายเข่งละ 60 บาท เราจะซื้อทานไหมครับ
คนมีเงินบอกว่า ซื้อ อร่อยดี แค่ 60 บาท อนาคตเงินเฟ้ออาจจะขายเข่งละ 80 บาทก็ได้
ดังนั้นกิน 60 บาท นี่แหล่ะ ราคาถูกแล้ว...
คนจนบอกไปกินเข่ง 20 บาท ดีกว่า ถูกกว่า 2 เท่า รสชาติแม้จะด้อยกว่า ก็ตาม
มันอยู่ที่ทัศนคติในการลงทุน

ประเด็นที่ผมอยากจะบอกว่าที่หุ้นตกคราวนี้เป็นโอกาสเพราะอะไร
ติ๋มซำเจ้าอร่อย จากเข่งละ 60 บาท ตอนนี้ ลดราคามาให้เรากิน เหลือ 30-40 บาท
คุณจะซื้อทานไหมครับ
คนมีเงินก็ยังคงซื้อเหมือนเดิม รสชาติ อร่อยดีเหมือนเดิม แต่ขาย 30-40 บาท
ไม่กินไม่รู้ว่าไงแล้ว  ไม่ได้เอาของเสียของบูดมาลดราคา เหมือนของตกเกรด
ในขณะที่ติ๋มซำ เข่งละ 20 บาท อาจจะลดลงมาเหลือ 10 -15 บาท คนมีเงินก็ยังไม่คิดจะทาน
อยู่ดี

พูดไปแล้ว แว๊บ ความคิดมาในหัวถึงธุรกิจ อาหารหม้อต้มเจ้าหนึ่ง ทั้งลด แลกแจกแถม คนก็ยังไม่เข้าร้าน
ขณะที่ ขณะที่คู่แข่งอีกเจ้านึง ไม่เคยลดราคาเลย แต่คนต่อแถวล้นออกมานั่งรอในช่วงเวลาพีค ทุกสาขา
และราคาก็ถือว่า ไม่ได้ถูก



แต่ก็อยากให้คิดในมุมกลับ (คนเราควรจะมองอะไรหลายๆด้าน)
เอ๊ะ.. พอจะเป็นไปได้ไหม ว่า ติ๋มซำเจ้าอร่อยจะลดราคาขายเหลือเข่งละ 20 บาท
ทั้งที่ยังอร่อยเหมือนเดิมนี่แหล่ะ
มันก็ไม่แน่  แต่ก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะแค่ 30-40 บาทคนก็แย่งกันซื้อ
จนหมดร้านตลอดอยู่แล้ว

เปลี่ยนมาในเรื่องหุ้น  หุ้นคือหุ้นส่วนกิจการ
คุณจะซื้อติ๋มซำ ไม่ได้ซื้อกินเองนะ  แต่ซื้อหุ้นกิจการติ๋มซำ
ข้อที่ 1   คุณจะซื้อกิจการติ๋มซำที่ อร่อย หรือไม่อร่อย
ข้อที่ 2   จังหวะการเข้าซื้อหุ้นกิจการ คุณจะซื้อตอนที่เค้าลดราคาขายติ๋มซำให้แก่ลูกค้า ถูกลงๆๆไปเรื่อยๆ
             หรือ เข้าซื้อในตอนที่ขายแพงขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ
ข้อที่ 3   ไม่ว่าจะถูกจะแพง หากว่ากิจการติ๋มซำนั้นดี คุณก็จะสบายจิตสบายใจที่ยังมีลูกค้าล้นหลาม
             เหมือนเดิม


ช่วงนี้ของดีลดราคา  ไม่มีใครว่าอะไรถ้าเราจะกิน


คำเตือน :  การกระทำแบบนี้ไม่เหมาะกับคนที่เล่นเก็งกำไร เพราะช่วงแรกคุณอาจจะไม่ได้เห็นมัน..





วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ชำแหละหุ้นร้อนแรงตัวที่หก INET

สวัสดีครับ กลับมาพบกัน
Find Stock By Natural Style กันอีกแล้วนะครับ
ค้นหาหุ้นในมุมมองแบบธรรมชาติๆ กันอีกครั้ง




เหตุเกิดเมื่อวานก่อนนะครับ
หุ้นที่ผมไม่ค่อยได้ติดตามตัวหนึ่ง เกิดอาการ "ติดลิ่ง" !! ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ทำให้อดใจไม่ไหวที่จะต้องไปตามดู เอ๊ะ.. เกิดอะไรขึ้นกับ หุ้นร้อนแรงตัวนี้
โดยส่วนตัวแล้วไม่ค่อยเข้าใจ ธุรกิจอินเตอร์เนต สื่อสาร อะไรราวๆนี้สักเท่าไหร่นัก
ก็เลยไม่ค่อยได้ติดตาม ใช่แล้ว   เค้าก็คือ ...  INET นั่นเอง
INET ทำเกี่ยวกับการให้บริการอินเตอร์เนตแบบครบวงจรโดยมี ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นองค์กรของรัฐ 49%
นั่นคือ สวทช. กสช. และ ทีโอที
ซึ่งจะมีความหมายว่า บริษัท INET นี้จะมีประโยชน์ได้เปรียบ
หากดำเนินการกับกิจการของรัฐบาล
แน่นอนว่าธุรกิจประเภทนี้ อาจจะต้องมีการส่งเสริม แอบอิง หรือสัมปทาน อะไรบางอย่างจากทางรัฐบาล
ไม่มากก็ไม่น้อยล่ะ นั่นคือกุญแจดอกที่หนึ่ง

INET ยังเป็นผู้ให้บริการความเร็วอินเตอร์เนตที่สูง ด้วยสายไฟเบอร์ออพติกความเร็วเนตสูง
ถึง 10 GB ต่อวินาที แน่นอนว่าความเร็วระดับนี้ต้องเป็นลูกค้าระดับองค์กรสำคัญๆใหญ่ๆเค้าใช้กัน
โดยปัจจุบันมีลูกค้าเป็นหน่วยงานองค์กรของรัฐและสถาบันการเงินเสียส่วนใหญ่ ไม่เน้นตลาดรายย่อย
และให้บริการเรื่อง เนื้อที่จัดเก็บข้อมูลสำคัญๆ  ข้อมูลการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิต เป็นต้น
ซึ่งการแข่งขันจุดนี้ ยังมีผู้เล่นน้อยราย การจับกลุ่มลูกค้าองค์กรและมีความเร็วเนตที่สูงมาก
ถือเป็นกุญแจสำคัญดอกที่สอง

ส่วนประเด็นข่าวร้อนแรง ที่ว่ากันว่าจับมือกับ CTH บริษัทที่ซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกไป
ต้องการที่จะทำธุรกิจแบบครบวงจร กล่าวคือมีทั้งทีวีเคเบิ้ล และอินเตอร์เนตความเร็วสูงให้บริการ
ฟังคร่าวๆแล้วก็คล้ายๆกับ กลุ่มทรู แต่จุดขายอยู่ที่ความเร็วเนตที่นำมาเสนอขายนั้น อยู่ที่ 50 MB ต่อวินาที
โดยจ่ายแค่ 599 บาทต่อเดือน ดีลนี้ว่ากันว่าจะทำให้วงการหุ้นทรู สะเทือนไม่น้อยโดยวันนี้ หุ้น TRUE
ปิดตลาดลบไปเบาๆ  7.21%  แต่เมื่อเจาะลึกข้อมูลผ่าชำแหละลงไปพบว่า
ดีลนี้ CTH จ้าง INET ดูแลข้อมูล แบ๊คอัพโครงข่าย ดูแลระบบ
การจับมือเป็นพันธมิตรกับ กลุ่มทุนร้อนแรงที่ถือลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกในมือ ถือเป็น
กุญแจสำคัญดอกที่สาม



ทำให้ INET จะมีรายได้เพิ่มจากเดิมคาดการณ์ว่า 360 ล้านบาทต่อปีในช่วงเริ่มต้น และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆหากโครงข่ายมีการเพิ่มจำนวนของลูกค้าของ CTH มากขึ้น

จุดที่นักลงทุนต้องระวังก็คือ การขยายขนาดโครงข่าย เพื่อรองรับลูกค้าระดับ MASS อาจจะต้องทำให้มีการลงทุน เครื่องเซิฟเวอร์หรือระบบอื่นๆด้านเทคโนโลยีมากขึ้น
อาจจะทำให้กระทบกับผลการดำเนินงานตามงบการเงิน และเมื่อผ่านพ้น ระยะเวลาลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก
ของ CTH อาจจะทำให้เกิดการย้ายฐานลูกค้าไปหาผู้ให้บริการรายอื่นได้ หากประมูลลิขสิทธ์ฟุตบอลแพ้ในอีก 3 ปีถัดไป หรือเมื่อ กลุ่ม TRUE ขยับลงมาแข่งขันด้วย เมื่อนั้นเกมส์อาจจะพลิกก็ต้องติดตามกันต่อไป

พบกับ Find Stock By Natural Style ได้ใหม่ ในวันเวลาดีต่อไป
สำหรับวันนี้   สวัสดีครับ