จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ITD หุ้นรับเหมารายใหญ่ เฉิดไฉไลจริงหรือ ?




ในสมัยประมาณปี พ.ศ.2499  ยุคที่อันธพาลได้ครองเมือง
และวัยรุ่นชายนิยมพกหวีไว้ในกางเกงนั้น
การขนส่งที่นิยมใช้กันยุคนั้นก็คือทางน้ำ พาหนะยอดฮิตก็คือเรือสินค้า

และก็ได้มีชายผู้หนึ่ง อาสาช่วยญาติของเขา ทำธุรกิจสัมปทานกู้เรือ ร่วมกับชาวอิตาลี
จนกิจการไปได้ดิบได้ดี  ขยับขยายจากเล็กไปใหญ่ ตั้งชื่อบริษัทว่า อิตัลไทย




จนเมื่อราวปี 2520 ชาวอิตาลีได้เสียชีวิตลง ทุกอย่างเลยตกอยู่ในกำมือของคนไทย
และทำกิจการหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือรับเหมาก่อสร้าง

สมัยก่อนบริษัทอิตาเลียนไทย มักรับงานเอกชน มากกว่างานก่อสร้างของรัฐ ในสัดส่วน 60 : 40

พอเกิดวิกฤตปี 40 จึงหันมารับงานก่อสร้างของภาครัฐมากขึ้น น่าจะเข็ดกับยุคฟองสบู่
ปัจจุบันลูกค้ารายใหญ่ของอิตาเลียนไทย   ต่อไปขอเรียกว่า ITD. 
จึงผูกกับงานโครงการของภาครัฐ และ รัฐวิสาหกิจเกือบ 90% ของมูลค่างานทั้งหมด

งานของ ITD นั้นมีหลากหลายประเภทงานมาก ซึ่งบริษัทเค้าก็แบ่งประเภทงานก่อสร้างออกมา
ได้  9  สายงาน คือ


1. งานก่อสร้างอาคารสำนักงาน  อาคารชุด  ตึกสูง  และโรงแรม
2. งานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
3. งานวางท่อระบบขนส่งน้ำมัน,แก๊สและน้ำ ท่อร้อยสายไฟใต้ดินและถังเก็บน้ำมันขนาดใหญ่
4. งานก่อสร้างทางหลวงแผ่นดิน  ทางรถไฟ งานทางรถไฟความเร็วสูง งานทางวิ่ง งานสถานี
    งานวางราง และงานระบบรถไฟฟ้า  สะพาน และระบบทางด่วน
5. งานก่อสร้างสนามบิน ท่าเรือ และงานทางทะเล
6. งานก่อสร้างเขื่อนอเนกประสงค์  อุโมงค์   และโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า
7. งานด้านโครงสร้างเหล็ก
8. งานด้านระบบการสื่อสารและโทรคมนาคม
9. งานด้านการพัฒนาเหมืองแร่และถ่านหิน

โครงสร้างรายได้ของบริษัทในแต่ละสายงาน







































จะเห็นได้ว่ารายได้หลักๆของบริษัท จะมาจากแค่ 4-5 กลุ่มเท่านั้น
เรียงตามลำดับสายงานที่ทำรายได้ จากมากไปน้อยดังนี้

1) ก่อสร้าง ถนน ทางรถไฟ ทางด่วน    สัดส่วน 26.25%
2) โครงการจัดกลุ่มไม่ได้                    สัดส่วน 17.54%
3) ก่อสร้างอาคาร คอนโด โรงแรม       สัดส่วน 15.19%
4) วางระบบท่อน้ำมัน แก๊สฯลฯ            สัดส่วน 13.14%
5) สนามบิน ท่าเรือ ทะเล                    สัดส่วน 10.89%

รวม 5 ข้อ มีสัดส่วนรายได้มากกว่า         83%

ITD มีบริษัทย่อยมากมายหลายสิบบริษัท แต่ที่ทำเงินเข้ามาสู่บริษัทแม่ในปีที่ผ่านมานั้น
มีบริษัทหลักๆอยู่3-4 บริษัท  คือ

                 ชื่อบริษัทย่อย                               รายได้(ล้านบาท)                   คิดเป็นสัดส่วน

 1. บจก.ไอทีดี ซีเมนท์เทชั่น อินเดีย                      9,500                                    46 %
 2. บจก. ภูมิใจไทยซีเมนต์                                    1,247                                     6 %
 3. กิจการร่วมค้าไอทีดี ไอทีดี เซ็ม(คอนซอเทียม)    1,222                                   5.8 %
 4. กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ไอทีดี เซ็ม                        1,274                                   6.2 %

ซึ่งกิจการ ที่ทำรายได้เยอะๆ นั้นไม่ใช่ว่าเก่งกาจ เป็นพระเอกกว่ากิจการอื่่นๆ อะไร
แต่เป็นเพราะ มูลค่างานเยอะกว่าก็เท่านั้นเองครับ

ว่ากันง่ายๆ มูลค่างานก่อสร้างเยอะ รายได้ก็เยอะ แค่นั้น........  ง่ายไหมครับ

ฟังดูก็ง่ายมาก แค่รับงานใหญ่ๆยักษ์ๆ รายได้ก็จะเข้ามาเยอะแล้ว
แต่ความยากของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง  อยู่ที่การบริหารจัดการมากกว่า
และความเสี่ยงสูงสุด อยู่ที่ปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ต่างหาก

อาทิเช่น ฝนตก  น้ำท่วม  วัสดุขาดตลาด แรงงานหาไม่ได้ - อันนี้ส่งผลต่อระยะเวลา
ซึ่ง  เวลานี่แหล่ะที่สำคัญที่สุด  เพราะทุกสัญญาก่อสร้างมีค่าปรับ...
ปรับจริงและปรับหนัก   ยิ่งงานมูลค่าสูง ค่าปรับก็น่าหวาดเสียวอย่างยิ่ง

วัสดุขึ้นราคา  อันนี้มีหนาว เพราะตอนประมูลงาน สมมติตอนนั้นเหล็ก กิโลกรัมละ 20 บาท
เศรษฐกิจโลกกลับมาดีขึ้นพอดีสร้างๆอยู่  เหล็กขึ้นราคากลายเป็น กิโลละ 30 บาท ก็มีมาแล้ว



มาดูผลประกอบการกันบ้าง




































จากงบกำไร-ขาดทุน

บริษัท ITD จะมีกำไรขั้นต้นประมาณ 9.3 %
มีต้นทุนทางการเงินประมาณ  5.6 %
เสียภาษีที่ 0.5 %


คือถ้ารับเหมาก่อสร้าง 1 โครงการมูลค่า 100 บาทจะมีกำไรขั้นต้น  9.3 บาท
แต่กำไรจะถูกหักออกไป ประมาณ 6.1 บาท เป็นต้นทุนทางการเงิน เช่น ค่าดอกเบี้ยเงินกู้
หุ้นกู้ เป็นต้น และ ภาษี

ดังนั้นจะเหลือกำไรสุทธิประมาณ  3.2 %

ดอกเบี้ยก็หนักซะเหลือเกิน แบกเกือบจะไม่ไหวอยู่ละ
ใครเป็นเจ้าหนี้ ITD คนนั้นรวย 555+

มุมมอง ส่วนตั้วส่วนตัวของผม  ผมคิดว่า


อิตาเลียนไทยมีข้อเสีย คือ

  1.ไม่เลือกงาน  จริงๆแล้วการไม่เลือกงาน เป็นข้อดีของคน
แต่พอ ออกมาอยู่ในรูปของบริษัท ในโลกธุรกิจ แล้ว มันคือข้อเสียครับ
มันต้องเลือกงานกันบ้าง  โครงการออกมา สมมติ10 โครงการ จะเอาหมดมันก็ไม่ไหวถูกมั้ยครับ

เพราะทรัพยากรหลักๆมันมีจำกัด  ( คนงาน เงินทุน  เครื่องจักร วัสดุ )
หากใครคิดว่าวัสดุมีไม่จำกัด  โรงงานผลิตป้อนไม่ทันก็มีนะครับ ในงานก่อสร้างใหญ่ๆน่ะ

มันต้องเลือกหยิบเฉพาะชิ้นปลามันเท่านั้น

บริษัทที่รับงานโครงการก่อสร้างหลักพันล้านบาท ต่อโครงการ  และยังมีงานอยู่ในมืออีกมากมาย
(ไม่ใช่ว่าไม่มีงานนะครับ)  ทำไมต้องลงไปรับงานก่อสร้างมูลค่าหลัก ร้อยกว่าล้านบาทอีกด้วย
ทั้งที่มันไม่คุ้มค่ากับ ค่าดำเนินการและผลกำไรที่จะได้รับ

สู้เอาแรงงาน ทรัพยากรและเวลาไปทุ่มกับโครงการขนาดใหญ่ แบบเน้นๆ ให้มันมีกำไร
ในโครงการใหญ่ๆ แล้วยอมเจ๊งทิ้งโครงการเล็กๆ ยังจะเห็นผลเป็นรูปเป็นร่าง
และมีประสิทธิภาพมากกว่าอีก

ITD ควรจะรับงานกำไรเน้นๆ  งานที่มีความถนัด รับงานที่บุคลากรเชี่ยวชาญ
ทำในสิ่งที่บริษัทถนัด และสิ่งแวดล้อมเอื้อประโยชน์
ถ้าเปรียบเป็นชกมวย ก็ไม่ต้องแย็ปมาก ปล่อยหมัดฮุค หมัดน๊อคอย่างเดียว

อันไหนไม่ถนัดก็ไม่ต้องไปทำ โอกาสกำไรมันก็ยาก เพราะทำงานที่ไม่ถนัด

2. ทำงานยา่ก   งานยากในที่นี้ ก็คือ โครงการแบบที่ต้องใช้เครื่องมือ
ใช้ความเชี่ยวชาญพิเศษดำเนินการ
ITD ไม่ควรรับงานยากมาทำเลย เพราะโอกาสมีกำไรจะไม่เหลือ  
ค่าใช้จ่ายจะถูกใช้ไปกับค่าอุปกรณ์ชนิดพิเศษ บุคลากรที่ชำนาญงาน ค่าจ้างแพงๆ
และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน

ผมยกตัวอย่างงานยากๆ ให้ดู เผื่อจะได้เห็นภาพนะครับ

งานจ้างเหมาก่อสร้างเคเบิลใต้น้ำ 115 เควี ไปเกาะสมุย 3500 ล้านบาท
แค่ฟังชื่อโครงการก็ขนลุกแล้ว วิธีการทำงานแบบใต้น้ำ มันคงไม่ง่ายสักเท่าไหร่
แบบนี้จะมีกำไรได้อย่างไร
หรืออีกสักตัวอย่าง
งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง 24000 ล้านบาท ที่ต้องรื้อถอน เสาโฮปเวลล์เก่าด้วย
มีตอม่อเสาคอนกรีตขนาดใหญ่ ที่ทิ้งร้างมาหลายสิบปี ไม่ว่าใครก็ส่ายหัว แต่ ITD เอาครับ

งานแข็งๆทั้งนั้น  เหลือแต่กระดูกๆให้กิน เนื้อนุ่มๆไปไหนหมดไม่ทราบ

เป็นที่มาของอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ ศูนย์กว่าเปอร์เซ็นต์ ในอดีต และเพิ่งเป็น สามเปอร์เซ็นต์ในปี 56
อัตรากำไรสุทธิน้อยมาก เพราะรับประทานแต่เนื้อเหนียวๆ เคี้ยวยาก  ดังภาพ
อ้อ เคยติดลบด้วยแน่ะ..















ITD คือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่กำไร ไม่ค่อยจะใหญ่ตามตัว ตามที่เคยอธิบายไปแล้วข้างต้น

ยังไม่พอ หนี้สินก็เยอะอีก (ก็แหงสิ เงินทุนมีจำกัด ไปรับงานซะกี่แสนล้าน มันก็ต้องกู้เงินน่ะ)
ล่าสุดเพิ่งทำการเพิ่มทุนในตลาดหลักทรัพย์ไป
นี่คือสิ่งที่ผ่านมาในอดีต

แล้วอนาคตล่ะ ??

อิตาเลียนไทย มีโครงการสานฝันสู่อนาคตหลักๆตอนนี้ที่นับได้สามโครงการถ้วน

โครงการที่หนึ่ง    ทวายโปรเจ็ค





อันนี้ศึกษาดูแล้วไม่ไหว  ออกแนว แป้ก !! ครับ

ตอนแรก บริษัท กะกินเรียบ ก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก นิคมอุสาหกรรม แล้วเก็บเงินสัมปทาน
กินยาวตลอดหลายสิบปี  ปัญหาคือ ไม่มีสตังค์น่ะสิ เพราะพม่า ไม่ลงเงินลงทองช่วยเลยสักนิด
ให้ ITD ควักกระเป๋าอย่างเดียวมานาน แต่ให้สิทธิ์สัมปทานคืน เป็นการตอบแทน

ฝันที่เคยหวาน ก็กลับหวนสู่ความจริง


เมื่อมีรัฐบาลญี่ปุ่นเข้ามาแจมเค้ก S&P
ญี่ปุ่นเข้ามาทำท่าเรือน้ำลึุก ที่เมืองหลวงเก่าของพม่า ชื่อว่าท่าเรือติวาลา 
ห่างเมืองย่างกุ้ง 25 กิโลเมตร เอง
 มีทั้งเงิน มีทั้งกลยุทธ์ และใกล้แล้วเสร็จละด้วยเปิดปี 58


 ITD หนาวมาก  ติดดอย !! ทันที  ลงเงินลงแรงไปกับ ทวายตั้งเยอะ
จากแหล่งข่าว แจ้งว่าลงเงินไป  6-7 พันล้านบาทแล้ว
ตอนนี้ยังไม่มีรายรับเข้ามาเลย เพราะยังไม่เสร็จ

 ITD มุขแป้ก....รอบนี้พอทำท่าว่าจะไปไม่รอด จึงหันมาหาความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทย
ทำความร่วมมือแบบG to G , Goverment to Goverment  โดยมีกลยุทธ์ใหม่คือ
เปิดรับผู้ลงทุนร่วม

ITD ก็จะขอแจมทุกการลงทุนขอถือหุ้นประมาณ 25% แทน ไม่กำไรก็ขอขาดทุนลดลง -  -

ดีลนี้จาก 100 % ลดเหลือ 25 %ไม่นับเงินที่ลงไปก่อนหน้า

ในส่วนรูปแบบการลงทุน คือ จัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ(SPV)
ในลักษณะที่เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนขึ้นในประเทศไทย



ไทยถือหุ้นในเอสพีวีทั้งหมดร้อยละ 50
ส่วนหุ้นที่เหลือจะเป็นของสหภาพเมียรมาร์และญี่ปุ่นตามลำดับ
โดยในฝ่ายรัฐบาลไทยถือหุ้นร้อยละ 26 จากหุ้นทั้งหมดร้อยละ 51
 ส่วนที่เหลือเป็นของบริษัทอิตาเลียนไทย (25%)
สามารถถือเท่าไหร่ก็ได้แต่ไม่เกินร้อยละ 25
 ส่วน SPV จะทำหน้าที่เป็น Holding  company ที่จะมีนิติบุคคลย่อยๆอีก 8 บริษัท

เงินลงทุนในโครงการท่าเรือ 3 พันล้านบาท
เขื่อน  3 พันล้านบาท
ที่พักอาศัย 200 ไร่ มูลค่า 4.5  พันล้านบาท
โครงการในนิคม 4-5 พันล้านบาท
รวมลงทุน 1.5 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว

โครงการที่สอง    บริหารจัดการน้ำ 5 โมดูล






โครงการน้ำจากรัฐบาลไทยมูลค่า 2.9 แสนล้าน
ITD คว้างานมาทำได้ประมาณ 1.1 แสนล้าน

(จากงบประมาณเดิมคาดว่าใช้เงิน 3.5 แสนล้าน เหลือทำจริง ประมาณ 2.9 แสนล้าน)

กิจการร่วมค้า ไอทีดี พาวเวอร์ ไชน่า เจวี  (ITD POWER CHINA JV.) ชนะการประมูล 5 โมดูล ดังนี้

โมดูลที่ A1 การสร้างอ่างเก็บน้ำอย่างเหมาะสมและยั่งยืนในพื้นที่ลุ่มน้ำปิง, ยม, น่าน, สะแกกรัง และป่าสัก ให้ได้ความจุเก็บกัก 1.3 ล้าน ลบ.ม. วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท

โมดูลที่ A2 การจัดทำผังการใช้ที่ดิน / การใช้ประโยชน์ที่ดิน ในพื้นที่ลุ่มน้ำ รวมทั้งการจัดทำพื้นที่ปิดล้อมพื้นที่ชุมชนและเศรษฐกิจหลัก สำหรับพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา  วงเงิน 2.6 หมื่นล้านบาท

โมดูลที่ A4 การปรับปรุงสภาพลำน้ำสายหลักและการป้องกันการกัดเซาะตลิ่งริมแม่น้ำ ในพื้นที่แม่น้ำยม, น่าน และเจ้าพระยา ระยะเวลา 5 ปี วงเงิน 1.7 หมื่นล้านบาท

โมดูลที่ B1 การจัดทำผังการใช้ที่ดิน/การใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำ รวมทั้งการจัดทำพื้นที่ปิดล้อมชุมชนและเศรษฐกิจหลักพื้นที่ 17 ลุ่มน้ำ วงเงิน 1.2 หมื่นล้านบาท

โมดูลที่ B3 การปรับปรุงสภาพลำน้ำสายหลัก และการป้องกันการกัดเซาะตลิ่งพื้นที่ 17 ลุ่มน้ำ วงเงิน 5,000 ล้านบาท

 รวมงาน 5 โมดูล  เป็นเงิน 1.1 แสนล้านบาท  ต่อระยะเวลา 5 ปี

กิจการร่วมค้า ไอทีดี พาวเวอร์ ไชน่า เจวี เป็นบริษัทกิจการร่วมค้าไทย-จีน ประกอบด้วย 6 บริษัท
คือ ไอทีดี พาวเวอร์ ไชน่า เจวี
บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์
บริษัท พาวเวอร์ คอนสตรัคชั่น คอร์ปอเรชั่น ออฟ ไชน่า
บริษัท ไชน่า เก๋อโจวบ๋า กรุ๊ป
บริษัท ไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล วอเตอร์ แอนด์ พาวเวอร์ คอร์เปอเรชั่น
และบริษัท ปัญญา คอนซัลแตนท์


การที่มีบริษัทที่ปรึกษา อย่างบริษัทปัญญา คอนซัลท์ มาแจมด้วยเพราะอย่างนี้ครับ
สัญญาในโครงการนี้คือสัญญาแบบ Design-Build 
ซึ่งคนออกแบบ กับคนก่อสร้าง คือคนๆเดียวกัน
คือออกแบบไปด้วย ก่อสร้างสร้างไปด้วย   ทำแบบไปสร้างไป
ซึ่ง Deal นี้ผมให้ผลเป็นบวกในแง่ของกำไร  เพราะการทำการก่อสร้างแบบ Design-Build  
จะมีกำไรมหาศาลและไม่มีวันขาดทุน  เพราะอะไร

เพราะเมื่อเจอปัญหาอุปสรรคอะไร สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบ ได้เองตลอดเวลา
ซึ่งแน่นอนว่า ต้องเปลี่ยนให้ก่อสร้างได้ง่ายๆไว้ก่อน และเลือกรูปแบบการก่อสร้างที่ราคาถูกๆ
แทน  แต่ความเสี่ยงก็ยังคงมีอยู่

ค่าใช้จ่ายที่คาดไม่ถึงก็มี เช่นค่าเวนคืน กำหนดตายตัวไม่ได้ และ ต้องเวนคืนที่ดิน 4-5 หมื่นไร่ทีเดียว
แต่ความเสี่ยงก็จะถูกลดลงได้ จากการเปลี่ยนแบบด้วยเทคนิคการ Design-Build เพียงเล็กน้อย
เท่านั้นเอง

แนวฝั่งตะวันตกที่บริษัทออกแบบ จะขุดคลองใหม่ขนาดความกว้าง 120 เมตร มีถนนขนาด 4 ช่องจราจรขนาบอยู่ 2 ข้าง ความยาวประมาณ 400 กิโลเมตร ต้องเวนคืนพื้นที่ประมาณ 40,000-50,000 ไร่ ส่วนใหญ่ตัดผ่านที่นา และจำเป็นต้องรื้อย้ายบ้านเรือนเล็กน้อยกระจายตามจุดต่าง ๆ โดยเส้นทางจะรับน้ำจากพื้นที่เหนือ จ.นครสวรรค์ ไล่ลงมาพาดผ่าน จ.อุทัยธานี ชัยนาท สุพรรณบุรี อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี มาออกแม่น้ำแม่กลอง จ.สมุทรสาคร และลงอ่าวไทย

โครงการที่สองนี้ผมให้กำไรสุทธิเยอะหน่อย 10% ขึ้นไปเพราะเหตุผลข้างต้น
แต่ต้องรอไปก่อน 1-2 ปี เพื่อทำประชาพิจารณ์ให้แล้วเสร็จ




โครงการที่สาม    โมซัมบิคโปรเจ็ค

อิตาเลียนไทยประสบความสำเร็จในการประมูลงานที่ประเทศโมซัมบิค
จำนวนเงินมูลค่างาน 2 – 3 แสนล้านบาท
เป็นโครงการก่อสร้างทางรถไฟระยะทาง 500 กิโลเมตร และสร้างท่าเรือขนาดใหญ่






































ประเทศโมซัมบิค มีเมืองหลวงชื่อว่ากรุงมาปูโต (Maputo) เป็นเมืองหลวงและเมืองท่าสำคัญ
ในเมืองเดียวกัน ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศ
และมีเมืองท่าที่สำคัญอื่น ได้แก่ เมือง Beira, Nacala และ Quelimane

ปกติการก่อสร้างทางรถไฟ ถ้าหากจะให้มีกำไรเยอะ  ต้องอยู่ในพื้นที่ราบ
เพราะว่าสร้างง่ายกว่า ทางชันและทางภูเขา ซึ่งกำไรอาจจะหมดไปกับอุปสรรคที่จะเกิด
ในระหว่างก่อสร้าง

ซึ่งตามแหล่งข่าวก็ไม่ได้ระบุว่าสร้างทางรถไฟจากเมืองไหนไปเมืองไหน

แต่พอจะคาดได้ว่า ทางรถไฟ จะเชื่อมระหว่างเมืองสำคัญแน่นอน




ข้อมูลด้านงานรถไฟของบริษัท  ITD

อิตาเลียนไทยได้เป็นบริษัทฯ แรกที่เข้าดำเนินการในการสร้างทางรถไฟแบบรางคู่
โดยร่วมมือกับบริษัทโคจิเฟอร์ ซึ่งเชี่ยวชาญการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สำหรับการวางราง
และร่วมกันผลิตประแจสับหลีกคุณภาพสูงใช้ในประเทศ และส่งออกชิ้นส่วน

ไปยังประเทศฟิลิปปินส์, อียิปต์, อิสราเอล, อังกฤษ, นอร์เวย์ และฟินด์แลนด์
ส่งออกประแจครบชุดไปยังประเทศสิงคโปร์,มาเลเซีย,ฮ่องกง และไต้หวัน

บริษัทฯ มีโรงงานผลิตหมอนคอนกรีตชนิดพิเศษที่ใช้ในการวางรางรถไฟในประเทศ และส่งออกไปยังประเทศกัมพูชา และออสเตรเลีย ณ อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังรับติดตั้งรางรถไฟของระบบรถไฟฟ้าBTS  ซึ่งเป็นโครงการรถไฟลอยฟ้าโครงการแรกของประเทศไทย
งานวางรางรถไฟฟ้าของเมืองบังกาลอร์ประเทศอินเดีย และงานวางรางพร้อมระบบเครื่องกลไฟฟ้า




เมื่อดูจากสภาพภูมิประเทศ ทางตอนใต้จะเป็นที่ราบลุ่ม และทางตอนเหนือของประเทษโมซัีมบิค
จะเป็นภูเขา และจากระยะทาง 500 กิโลเมตร อาจจะเป็นทางรถไฟเชื่อมต่อเมืองหลวงอย่าง
กรุง Maputo  และเมือง Beira ก็ได้

ซึ่งก็จะเป็นเส้นทางรถไฟที่เป็นที่ราบ กำไรที่ได้รับคาดว่าจะดี
ส่วนอีกโครงการก่อสร้างอีกอันหนึ่ง นั้นก็คือ ท่าเรือขนาดใหญ่ ซึ่งก็เป็นโครงการที่ ITD
ถนัดช่ำชองยิ่งนัก



ข้อมูลด้านงานก่อสร้างท่าเรือของบริษัท  ITD

บริษัทฯ เป็นผู้นำในด้านงานรับเหมาก่อสร้างทางทะเล ไม่ว่าจะเป็นการขุดลอกร่องน้ำ  งานทำเขื่อนกันคลื่น  และการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก
ซึ่งบริษัทฯ มีความภาคภูมิใจที่จะกล่าวได้ว่า

เป็นบริษัทของคนไทยบริษัทแรกที่มีประสบการณ์ในด้านการก่อสร้างท่าเรือพานิชย์ขนาดใหญ่ของเมืองไทย
เพื่อรองรับโครงการพัฒนาชายฝั่งตะวันออก ซึ่งมีความสามารถในการขนถ่ายสินค้า
 และสามารถรองรับได้ทั้งเรือคอนเทนเนอร์  เรือภายในประเทศ  เรือสินค้าเกษตร และเรือบริการ  พร้อมติดตั้งระบบสาธารณูปโภคอย่างครบครัน


เนื่องจากในอดีตเคยก่อสร้างท่าเรือมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น
  -  ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง  จ. ชลบุรี
  -  ท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด  จ. ระยอง
  -  ก่อสร้างท่าเทียบเรือขนถ่าย LNG บาหลี

ดังนั้น สรุึปว่าโครงการ โมซัมบิคโปรเจ็ค  นี้น่าจะส่งผลบวกอย่างมากต่อ ITD

ซึ่งผมยังไม่ทราบรายละเอียดสัญญาว่ามีอายุกี่ปีและมีวิธีการจ่ายเงินอย่างไร
แต่ประมาณการคร่าวๆ โครงการระดับนี้ไม่น่าจะสร้างนานกว่า 3-4 ปี

คาดการณ์กำไรที่ 10% (ให้เยอะเพราะเป็นงานที่ถนัด ทำอยู่ประจำ มีโรงงานเป็นของตัวเอง)
ก็จะมีกำไรประมาณ 2.5 ถึง 3 หมื่นล้านบาท ในห้วงระยะเวลา 3-4 ปี

เฉลี่ยก็จะมีกำไรต่อปีอยู่ในช่วงประมาณ   6000 - 10000 ล้านบาท
คิดเป็นกำไรต่อหุ้น  1.43 - 2.38 บาท
ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ปี  2557 - 2559


เอาล่ะ มาถึงส่วนของวิเคราะห์รายได้และกำไรอนาคตกันบ้าง

                                                                                                                          หน่วย:ล้านบาท


















โครงการทวาย ผมไม่สามารถคิดรายได้และกำไรออกมาได้จริงๆจังๆนัก
จึงขอตั้งเป็นตัวเลขแบบว่า ใช้หลักการเดา ล้วนๆ จากพื้นฐานของการเป็นไปได้

โครงการจัดการน้ำผมให้รายได้และกำไรเป็นค่าเฉลี่ยต่อระยะเวลาตามสัญญา 5 ปี
เช่นเดียวกันกับโครงการก่อสร้างที่โมซัมบิค
ซึ่งตัวเลขเหล่านี้อาจจะปรับขึ้น หรือ ลดลงก็ได้ แต่คิดว่าไม่น่าจะหนีจากค่าเฉลี่ยเท่าไรนัก

จากข่าวในปีนี้ 2556  มีการคาดการณ์ว่า อิตาเลียนไทย จะมีรายได้ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
และจะเป็นกำไรอยู่ประมาณ 1.8 พันล้านบาท   คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 3%

ส่วนปี 2557-2559 (ไม่นับงานเก่าจากแบ๊คล็อกในมือ)
 ITD จะมีกำไร 1 หมื่นล้านบาท
มาจากโครงการที่ประเทศโมซัมบิค ซึ่งเป็นงานก่อสร้าง ทางรถไฟและท่าเรือที่บริษัทถนัด
คิดเป็นกำไร 2.38 บาทต่อหุ้น  แต่เมื่อพ้นหลังจากปี 2559 ไปแล้ว  ถ้าหากไม่มีงานใหม่ๆ
มูลค่าสูงเข้ามาเพิ่มเติม  กำไรต่อหุ้นจะลดลงเหลือเพียง 0.48 บาทต่อหุ้น

สรุป

อิตาเลียนไทย  มีงานในมือค่อนข้างมาก หลายแสนล้านบาท ในห้วงระยะเวลา 3-5 ปี นับจากนี้
ทั้งเป็นงานโครงการที่ควรมีกำไรและไม่ควรมีกำไรปะปนกันไป
แต่มูลค่าของงาน ที่มีความน่าจะเป็นว่า จะมีกำไรค่อนข้างดีนั้น มีมูลค่างานอยู่สูงทีเดียว
เมื่อหักลบกันแล้ว โอกาสกำไรก็จะมีสูงกว่า

โครงการที่อิตาเลียนไทยถนัดคือ งานถนน ทางรถไฟ  ท่าเรือและ สนามบิน
ซึ่ง งานถนน ท่าเรือและทางรถไฟ อิตาเลียนไทยก็ได้ทำแล้ว (โครงการจัดการน้ำ โครงการทวาย
และโครงการโมซัมบิค)
มีแนวโน้มมาก ที่จะได้งาน 2 ล้านล้านบาท ไม่มากก็น้อย
 ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าโครงการในบริษัทให้มากขึ้นอีก


ปัญหาอย่างแรก ซึ่งผมไม่ทราบว่าจริงไหม แต่ให้นักลงทุน ระมัดระวัง และฟังหูไว้หู

คือ ITD มีบริษัทที่ถือครองอยู่ บริหารแยก เพื่อสร้างความร่ำรวยส่วนตัว ให้แก่..................
คือ บริษัทอิ............  ว่ากันว่า ของจากต้นทุน 5 บาท ก็ขายราคา 10บาทได้
โดยไม่ต้องมีการต่อราคา เพื่อเอากำไรส่วนต่าง
ดังนั้น กำไรของ ITD ก็จะไม่มากอย่างที่ควรจะเป็น แต่ บริษัทอิ..... จะกำไรมากแทน

ปัญหาอย่างที่สองที่คาดว่าจะเิกิดคือเรื่องเงินทุน งานก่อสร้างมูลค่ามหาศาลนับแสนๆล้าน
หากไม่ได้รับเงินล่วงหน้า
 (โดยทั่วไป10-20% ของมูลค่าสัญญาโดย ITD ต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินล่วงหน้า นี้ไว้)

ซึ่งถ้าหากจะต้องกู้เงินเพิ่ม เพื่อมาดำเนินกิจการ กำไรที่คาดการณ์ไว้ ก็ต้องลดลงเป็นธรรมดา
แต่ถ้าโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่  มีการร่างในสัญญาว่ามีเงินล่วงหน้าจ่ายให้ก่อน
ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้สินต่อทุนเยอะได้ และโอกาสกำไรก็สูงขึ้น



ถ้ามีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเรื่องของ ITD ก็จะอัพเดทให้ต่อใน
หน้า Page ใน facebook  ก็แล้วกันนะครับ

สำหรับวันนี้ ขอลาไปก่อน  สวัสดีครับ













วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แนเชอรอล พาร์ค (N-PARK) ความหมายของแสงสว่างรำไรที่ต้นไม้ใหญ่ ??














หุ้นต่ำบาท หุ้นหลักสตางค์ มีหลายตัวในตลาดที่นักเก็งกำไรนิยมเล่นกัน
พร้อมความคาดหวังว่ากิจการจะกลับมามีกำไรและจะทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้น
สร้างผลกำไรมหาศาล แนเชอรอล พาร์ค  N-PARK ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ช่วงนี้กระแสหุ้น N-PARK นี้ กำลังมาแรงว่าจะกลับมาเทิร์นอะราวด์  มีกำไร
และให้ผลตอบแทนระดับที่ว่ากันเป็นพันเปอร์เซ็นต์ มีกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่
เข้ามาเทคโอเวอร์ เพราะข่าวที่ว่าจะกลับมามีกำไรหลักพันเปอร์เซ็นต์ในหุ้น
บางคนก็ว่าจะวิ่งกลับไปราคาพาร์ที่ 1 บาทจะเป็นไปได้หรือไม่   อย่างไร  
เราอดไม่ได้ที่จะต้องตามไปหาข้อมูลวิเคราะห์พื้นฐานกันหน่อยล่ะ


เนื่องจากข่าวหุ้น N Park มีทั้งข่าวจริงและเท็จ 
ผมขอวิเคราะห์ตามเอกสารที่ถูกรับรองก่อนนะครับ



N-PARK ทำอะไร ?
ปัจจุบัน มีธุรกิจเกี่ยวกับ อพาร์ทเมนท์ให้เช่าในทำเลที่มีชาวต่างชาตินิยมพักอาศัยสูง
อยู่แถวๆ ถ.สุขุมวิท 49  มีจำนวนห้องให้เช่า 81 ห้อง อาคารสูง 15 ชั้น 3 อาคาร
แต่ทำรายได้กว่า 77 ล้านบาทต่อปี (ค่าเช่าเดือนละแสนกว่าบาทต่อห้อง)
ซึ่งทำรายได้ค่อนข้างดี แต่น่าตกใจอพาร์ทเมนท์ดังกล่าวนี้ สัญญาเช่า 30 ปีจะหมดลงในปี2561
อีกแค่ 5 ปีข้างหน้า ก็ต้องมาลุ้นกันต่อว่า จะต่ออายุสัญญาได้หรือไม่
ส่วนโอกาสเติบโต จากธุรกิจอพาร์ทเมนท์ตัวนี้คิดว่าคงไม่มี และตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่าจะเป็นอย่างไร


รายได้ของการทำธุรกิจ(กิจกรรมดำเนินงาน) มีเท่านี้จริงๆครับ

ส่วนอีกธุรกิจหนึ่งที่มีแต่ไม่มีการบันทึกรายได้ คือธุรกิจร้านอาหาร Lenotre
เป็นเหมือนซื้อเฟรนไชส์มาจากร้านดังในฝรั่งเศษ สร้างชื่อมาจากขนมระดับตำนาน
ไฮเอนด์ โด่งดังระดับโลก 

ปัจจุบันมีทั้งหมด 2 สาขา ที่สยามพารากอน และ ที่ชั้น1 อาคารเนเจอรอลพาร์ค
ซอยหลังสวน 

ไม่รู้ว่าอร่อยไหม เพราะยังไม่เคยไปชิม แต่ด้วยจำนวนสาขาที่น้อยก็ยังคงคาดหวังรายได้มาหล่อเลี้ยงบริษัทที่จะต้อง
ลงทุนเพิ่มจำนวนมากไม่ไหว 

ส่วนการที่ไม่นำมาคิดรายได้นั้นอาจเป็นเพราะว่าให้กลุ่ม แอคคอร์ มาบริหารงานแทน



อย่างที่ทราบ N-PARK มีขาดทุนสะสมเกือบๆ 8,000 ล้านบาท จึงไม่สามารถจะจ่ายปันผลได้ง่ายๆ
และรายได้จากการดำเนินงานที่มีเพียง อพาร์ทเมนท์ ปีละประมาณ 80 ล้าน
แห่งเดียวนี้คงจะไม่พอ ชดใช้หนี้สินที่พกมาจากอดีตปี 2540 พร้อมคดีความฟ้องร้องเรื่องเงินอีกมากมาย

การจะทำธุรกิจเพิ่มเติมนั้น มันต้องใช้เงิน ว่าแล้ว N-PARK ก็จัดการหาเงินซะใหม่
โดย
 ขายหุ้นเพิ่มทุน 6 หมื่นกว่าล้านหุ้น ได้เงินมา ประมาณ 1,500 ล้านบาท
 ขายส่วนของเจ้าของ ในเครือโรงแรมสยามคาร์ปินสกี้ 338 ล้านบาท
รวมกับการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่
ได้เงินมาบันทึกเป็นกำไร(ที่จับต้องเป็นเงินไม่ได้) เป็นกำไรทางอากาศจำนวน 321  ล้านบาท



N-PARK ทำอะไรใหม่ๆบ้าง ??

หลังจากระดมทุนมามีเงินสดในมือแล้ว ก็ถึงเวลาต้องขยับขยายกิจการเพื่อใช้หนี้
ล้างขาดทุนสะสมให้หมดไปซะ เพื่อจะได้มีปันผลมาจ่ายผู้ถือหุ้นต่อไป มีหลายDeal
เกิดขึ้นค่อยๆไล่ไปทีละดีล ดังนี้ครับ


Deal ที่ 1 : ซื้อกิจการโรงแรม
จากการหาข้อมูลพบว่า N-PARK เพิ่งเทคโอเวอร์โรงแรมที่จังหวัดขอนแก่นมีนามว่า
โรงแรมเซ็นทาราแอนด์คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ จังหวัดขอนแก่น เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานี่เองครับ
ด้วยเม็ดเงินกว่า 800 ล้านบาท

ด้วยการคาดการณ์ว่า จะมีการจัดประชุมสัมมนามากขึ้นในอนาคต ซึ่งโรงแรมนี้มีห้องประชุมจุคน
ได้มากถึง 3700 คน 
แต่มันน่าจะดีกว่านี้ ถ้าได้จัดประชุมด้วยเข้าพักในโรงแรมด้วย แต่โรงแรมกลับมี
ห้องพักน้อยนิด 196 ห้องรองรับแขกที่มาสัมมนาไม่พอแน่ 
รายได้มันก็จะได้ขาเดียวไม่ส่งเสริมกันสองขา

ตามที่เจ้าของเดิมขายกิจการโรงแรมนี้ให้นั้น เค้าใช้เงินซื้อตึกเก่ามาปรับปรุง
แต่เดิมใช้เงินลงทุนไปกว่าสองพันล้านบาทกับระยะเวลาการก่อสร้างอีกหลายปี 
แต่จำใจยอมขายเพราะแบกภาระดอกเบี้ยไม่ไหว ซึ่งมีทั้งดอกเบี้ยในและนอกระบบ

แต่ Deal การซื้อกิจการโรงแรมนี้ เป็น Deal ที่ผมให้ผลบวกเป็นอย่างมากด้วยเหตุผลสองสามประการ
เหตุผลข้อที่หนึ่ง N-PARK ใช้เงินน้อยกว่าครึ่งนึง ซื้อได้ราคาถูกมากๆ อย่างที่ไม่ควรจะเชื่อ
แค่ 800 ล้านบาท

ละ เหตุผลข้อที่สอง การที่สามารถดำเนินกิจการต่อได้ทันที มีการรับรู้รายได้
อย่างทันใจ ถือเป็นประโยชน์ 2 เด้ง

 ว่ากันว่าธุรกิจโรงแรมนั้นคืนทุนแน่นอนแต่ว่าช้าหน่อย 

การที่ดอกเบี้ยมากเกินไปและรอคืนทุนไม่ไหว เจ้าของเดิมก็เลยต้องจำใจปล่อยออกมาราคาเซลล์กระหน่ำแบบนี้

สำหรับธุรกิจ N-PARK ซื้อมาแต่โรงแรม การบริหารยังปล่อยให้ กลุ่มเซ็นทาราดูแลต่อไปอีก 15 ปี
ซึ่งก็เป็นส่วนดีเพราะ กลุ่มเซ็นทารา น่าจะชำนาญกว่า N-PARK ในธุรกิจบริหารโรงแรม
ให้ได้ดีมีกำไร 




Deal ที่ 2 : ซื้อคืนที่ดินบางกระเจ้า 300 ไร่

ทำการไถ่คืนที่ดินที่ติดแบงค์กรุงไทย แถวบางกระเจ้า อ.พระประแดง
จ.สมุทรปราการ  จำนวน 300 ไร่ ในราคาประมาณ 500 ล้านบาท
ซึ่งราคาเพิ่มมา 10 เท่าในช่วงที่ผ่านมา
เนื่องจากสมัยโบราณราคาที่ดินยังไม่แพงมาก
ข่าวว่าราคาที่ดินเพิ่มขึ้นจากไร่ละ 2 ล้าน กลายเป็นไร่ละ 20 ล้าน
Deal นี้ผมให้คะแนนเป็นบวกมากๆ สามารถหวังผลได้เลย

เคยมีคนบอกว่า N-PARK แค่ขายที่ดินก็ล้างขาดทุนสะสมหมดแล้ว..

มันไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิครับ

เพราะข่าวไม่ยอมบอกว่าที่ดิน 300 ไร่นี้ เป็นพื้นที่ที่เป็นสระน้ำ ทำอะไรไม่ได้ไป
ประมาณ 100 ไร่ (1ใน 3) ของที่ดินทั้งหมด ถ้าจะขายที่ดินที่เป็นน้ำ
รับรองไม่ใช่ไร่ละ 20ล้านแน่ๆ อาจเหลือเพียง 2 แสนต่อไร่
และในรายงานจะพบว่าที่ดินนี้เหลือเพียง 192 ไร่ 3 งาน มีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง
แสดงว่าเดิมทีก็มีที่ดินไม่ถึง 300 ไร่อยู่แล้ว 
คาดว่าข่าวน่าจะเขียนเชียร์หุ้นให้ดูเยอะไว้ก่อน
สรุปเหลือที่ดินใช้ประโยชน์ได้ประมาณ 93 ไร่

Deal ที่ 2.1 : ขายที่ดินบางกระเจ้า 30 ไร่

พอที่ดินมีกำรี้กำไรมากมาย จึงจำเป็นต้องแบ่งขายไปซะบ้าง เพื่อหาเงินมาทำทุนต่อ
เลยทำการขายไปเบาๆ 30 ไร่ ได้เงินมาประมาณ 500 ล้านบาท แต่เอ้ะ!!  ถ้าไร่ละ
20 ล้าน ขายที่ดิน 30 ไร่ น่าจะได้เงิน 600 ล้านบาทสิ ?
มองได้สองแบบ 1. ขายแบบลดราคาให้ รีบใช้เงินไปทำทุน
                           2. ราคาประเมินมีโอกาสที่จะราคาไม่ถึง ไร่ละ 20 ล้าน ตามข่าวที่เชียร์หุ้น

Deal ที่ 2.2 : โครงการบ้านจัดสรร ระดับไฮเอนด์

จากที่ดินของบริษัท 192 ไร่ 3 งาน
สรุปเหลือที่ดินใช้ประโยชน์ได้ประมาณ 93 ไร่
ที่ดินที่เหลือนี้จะนำมาพัฒนาเป็นโครงการบ้านจัดสรร ระดับหรู ราคาขายที่หลังละ
70 - 100 ล้านบาทเลยทีเดียว มูลค่าโครงการประมาณ 3-4 พันล้านบาท
การที่ทำเป็นบ้านหรู แน่ละเพราะมีทะเลสาป รอบๆหมู่บ้านอยู่แล้ว
ผมมองว่า Deal นี้ถ้ารวยก็รวยไปเลย แต่ถ้าขายไม่ออกก็ น่ากังวลไม่น้อย
อยู่ที่กึ๋นผู้บริหารแล้วล่ะว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ทุนจม จะสร้างเสร็จก่อนขาย
หรือว่าขายก่อนค่อยสร้าง 
















Deal ที่ 3 : โครงการคอนโดมิเนียม ถนนรามอินทรา กม.2

จากข่าว จะเป็นโลว์ไรซ์สูง 8 ชั้น บนที่ดินเนื้อที่  2.5 ไร่ 
มีจำนวน unit ประมาณ 100 ห้อง
ราคาขายประมาณตารางเมตรละ 5-6 หมื่นบาท มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท
ข้อดีที่ผมให้มุมมองเป็นบวกคือ สร้างบนที่ดินเดิมที่มีอยู่แล้วของบริษัท
ส่วนทำเลนั้นอยู่ตรงนั้นก็ถือว่าเป็นช่วงต้นๆถนนรามอินทรา และจะมีรถไฟฟ้าสายสีชมพูผ่าน
ข้อเสีย คือ ธุรกิจสร้างคอนโดมิเนียมขาย ปัจจุบันแข่งขันกันสูงมาก โอกาสจะขายหมด
เร็วๆ ปิดโครงการเลยนั้นมีน้อยมากและ ใช้ระยะเวลาการก่อสร้างนาน
กว่าจะรับรู้รายได้จากยอดโอน  อย่างน้อยก็อีก 24 เดือนจากนี้ไป




Deal ที่ 4 : โครงการอามันปุรี รีสอร์ท. ถนนเจริญกรุง 36

โรงแรมทีืพักในเครืออามันปุรี ระดับห้าดาวจะมีห้องพัก 35 ห้อง บนที่ดินเช่าราชพัสดุ
 เดิมทีเป็นที่ดินของกรมภาษีร้อยชักสาม ในสมัยโบราณ โดยจะสร้างโรงแรมย้อนยุคๆ
ให้เข้ากับสถาปัตยกรรมเดิมที่งดงามอยู่แล้ว

เช่าที่ดินดำเนินการ 30 ปี เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ โดยปัจจุบันยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างเลย
เนื่องจากติดปัญหาการย้ายออกของ ตำรวจดับเพลิงในที่ดินนั้น ตอนนี้เวลาเช่าผ่านมาจะสิบปีแล้ว
เริ่มปี 2548 ปัจจุบัน 2556

ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากหนังสือสงวนสิทธิ์เช่า ย้อนหลัง
Deal นี้ผมให้เป็นลบเพราะค่าเช่าที่ดินไม่สมเหตุสมผล ทำไปเห็นแววล้มตั้งแต่ไม่เริ่ม
อัตราเช่าที่ดิน 5 ไร่ เป็นดังนี้
    ปีที่  1 -  ปีที่ 11     อัตราค่าเช่าที่ดิน     3.3     ล้านบาทต่อปี
    ปีที่ 12 - ปีที่ 16     อัตราค่าเช่าที่ดิน     30      ล้านบาทต่อปี
    ปีที่ 17 - ปีที่  20    อัตราค่าเช่าที่ดิน     40      ล้านบาทต่อปี
    ปีที่ 21 -  ปีที่ 30    อัตราค่าเช่าที่ดิน     100     ล้านบาทต่อปี

รวมค่าเช่าที่ดิน 5 ไร่ เท่ากับ 1,346 ล้านบาท ในเวลา 30 ปี
โอ้วว ยังไม่รวมค่าก่อสร้างกับค่าบริหารงาน กับจำนวนห้องพัก 35 ห้อง
ใครที่หาค่า Feasibility ของโครงการเป็น คงจะกุมขมับทีเดียว
ตัวเลข NPV. , IRR คงติดลบมหาศาล
คิดเลขอย่างไรก็ไม่คุ้ม ยกเว้นราคาห้องพักจะแพงแสนแพงและต้องเกือบเต็มตลอดทั้งปี

Deal ที่ 5 : ซื้อหุ้นบริษัทพรอสเพค ดีวีลอปเมนท์

ซึ่งทำเกี่ยวกับธุรกิจให้เช่าพื้นที่เก็บสินค้า พื้นที่รวม 692 ไร่ 
 N-PARK ซื้อหุ้นไปจำนวน 7% คิดเป็นเงิน
86 ล้านบาท รายได้น่าจะออกมาในรูปเงินปันผลมากกว่า
หรือไม่แน่อาจกำลังหาวิธีครอบงำที่ดินผืนใหญ่นี้อยู่ก็ได้ โดยใช้เงิน
ไม่ถึงร้อยล้าน 555+ อันนี้ผมล้อเล่นนะครับ
มีพื้นที่เช่า ปัจจุบัน 83,000 ตารางเมตร ในอัตราตารางเมตรละ 200 บาท
น่าจะเป็นเรตต่อเดือน นะครับ 200 บาทต่อปี น่าจะถูกไป


ประมาณการรายรับที่จะเกิดขึ้นจากการเพิ่มทุน

ผมลองประมาณการรายได้ของบริษัท จากโครงการต่างๆที่กำลังจะเกิดขึ้น
ทั้งในปัจจุบัน และที่จะแล้วเสร็จ ในอนาคต ว่าจะเป็นอย่างไร
บางโครงการก็จะมีรายได้ เข้ามาตลอด
บางโครงการก็จะมีรายได้เข้ามาครั้งเดียว 
ตัวเลขที่ใช้ก็ใช้วิธีการคาดเดา แบบเป็นกลาง ซึ่งอาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่า
การประมาณการณ์ของผมก็ได้  ที่ทำแบบนี้เพื่อให้เห็นภาพรวม
ทางงบการเงิน เพื่อหามูลค่าของกิจการที่เหมาะสมในอนาคต
เป็นดังรูปด้านล่าง

เงินลงทุน บางโครงการก็ลงทุนแล้ว บางโครงการก็ยังไม่ลงทุน ดูแล้วยังต้องใช้เงินลงทุนอีกมาก
หากคิดจะล้างขาดทุนสะสมจริงๆ
ที่แน่ๆสิ้นปีนี้ N-PARK มียอดรอเคลียร์หนี้สิน 200 บาท นอนโบกมือรออยู่ปลายปี 56

Deal 2 กับ Deal 2.1 เอา 500 หักลบกลบหนี้กันไปนะครับ ไม่นำมาคิด

ดังนั้น สิ้นปี 2556 บริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินงานเกิดขึ้นประมาณ   80 ล้านบาท
ไม่รวมกำไรจากการปรับลดหนี้สิน ประนอมหนี้สินนะครับ ซึ่งคาดว่าจะมีเข้ามาอีกเป็นระยะ
เหมือนปีที่แล้วที่ได้มา 300 กว่าล้านบาท

สิ้นปี 2557 บริษัทจะมีกำไรประมาณ  287 ล้าน
เพิ่มขึ้นราวๆ 200 ล้านบาท อันเนื่องมาจากโครงการบ้านเดี่ยวไฮเอนด์ล้วนๆ

(โครงการนี้มีบ้านประมาณ 30-40 unit บนพื้นที่ 93  ไร่ ผมประเมินอายุโครงการไว้ที่ 3 ปี
หารเฉลี่ยกำไรซึ่งมูลค่ารวมโครงการประมาณ 3-4 พันล้านผมให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 20%
ของมูลค่าโครงการก็จะมีกำไรประมาณ 600 - 800 ล้านบาท หารเฉลี่ยสามปี ก็จะตกที่
ตัวเลขกำไรประมาณ 200 - 400 ล้านบาทต่อปี )

ส่วน Deal ที่ 4 ไม่สามารถาดการณ์รายได้ได้ ขอข้ามไปก่อนนะครับ ยังมีปัญหาฟ้องร้องกันอยู่
กับกรมธนารักษ์

กำไรต่อหุ้นในปี 56 ไม่นับกำไรทางบัญชี กำไรพิเศษต่างๆ นับเฉพาะกำไรจากการดำเนินงาน
เพียงอย่างเดียว

80 / 180,637,000,000  =  0.00044   บาท ต่อ หุ้น

กำไรต่อหุ้นในปี 57 ไม่นับกำไรทางบัญชี กำไรพิเศษต่างๆ นับเฉพาะกำไรจากการดำเนินงาน
เพียงอย่างเดียว

287 / 180,637,000,000  =  0.00150   บาท ต่อ หุ้น

ราคาหุ้นปัจจุบัน  0.09  บาท
คิด  PE จากการดำเนินงาน
PE ปี 56  = 204
PE ปี 57 =  60

สรุป 1
จากกิจกรรมที่ดำเนินงานในปัจจุบัน ยังไม่สามารถมีกำไรมากพอที่จะ ลดบัญชีขาดทุนสะสมเพื่อล้าง
ขาดทุนสะสมได้ในเร็ววันนี้  แต่หากมีการขายทรัพย์สินบางอย่าง ออกไปบ้าง ก็อาจจะพอมีลุ้นเพิ่ม
อนาคตบริษัทคงต้องหาธุรกิจทำเพิ่มเติมจากปัจจุบัน เพื่อให้เกิดรายได้มากกว่านี้
อีกหลายโครงการ  ซึ่งช่วงนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นจังหวะที่ดีหรือไม่ต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
เนื่องจากมีผู้เล่นหลายรายในตลาด

สรุป  2
บริษัทมักมีกำไรพิเศษ บันทึกทางบัญชี ซึ่งผมไม่ให้น้ำหนักความสำคัญ
ตรงจุดนี้มากนักแม้มันจะทำให้ดูดีในงบการเงินก็ตาม
เน้นดูธุรกิจและกิจการ ที่จะสร้างผลประโยชน์อย่างไรมากกว่า



แสงสว่างรำไร ที่เห็นที่ต้นไม้ใหญ่   ??
ที่เห็น คืออะไร ....




หากใครดูผลประกอบการ ของกิจการตามรูปภาพด้านบน ตรงที่ผมวงกลมไว้ต้องอุทานแน่ๆ
หุ้นเทพ หุ้นเทิร์นอะราวด์ พลิกขาดทุนเป็นกำไร  แถมยังกำไรมา สองปีติดต่อกัน

ROE ระดับ  71%  นี่มัน  ADVANC ชัดๆ
อัตรากำไรสุทธิ 57 % นี่เป็นบริษัทเหนือคำบรรยาย

เมื่อค้นลึกลงไป ในภาพนี้ และดูในสิ่งที่ผมวงกลมไว้



รายได้อื่น(กำไรพิเศษ ,ปรับสภาพหนี้) มากกว่ายอดขายสุทธิ. ที่มาจากการดำเนินงานปกติ
เมื่อคิดการดำเนินการปกติ จะกำไรขั้นต้นเพียง 9.43 ล้านบาทในไตรมาสแรก ปี56
(23.33 - 13.90 = 9.43 )

ภาพอันสวยงามเมื่อกี้ถูกลบล้างไปหมด

ตอนนี้ N-PARK ยังไม่แปลงร่าง แต่อนาคต สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง
จะถือทิ้งไว้ นานแสนนานก็ไม่แน่จะแปลงร่างให้เราเห็นได้ แต่คงไม่ใช่เร็วๆนี้
การสร้างบ้านแปลงเมืองต้องใช้เวลา ส่วนที่ราคาเปลี่ยนแปลงรวดเร็วนั้นอยู่ที่อารมณ์
นักลงทุน  ที่ส่วนใหญ่ก็เข้ามาเก็งกำไรขึ้น ลง  1 ช่อง ได้เสียกันเป็นสิบเปอร์เซ็นต์
ส่วนใครที่มีหุ้นตัวนี้แล้วก็ขอให้โชคดีครับ










วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หุ้น IPO น้องใหม่..ในขวดเก่า CKP (CK Power)


ช่วงนี้หุ้น IPO ออกมามากมายให้เลือกหลายบริษัททีเดียวไหนจะกางเกงยีนส์ ไหนจะอาหาร
ตอนนี้ก็ถึงคิวของกลุ่มพลังงาน CKP แม้จะอยู่ในกลุ่มพลังงานก็จริงแต่เน้นด้านพลังงานไฟฟ้า
ที่ขายพลังงานไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้า เป็นบริษัทลูกที่แยกออกมาจาก บริษัทช.การช่าง
เน้นดูแลด้านการขายไฟฟ้าโดยเฉพาะ เป็นแนวบริษัทแบบที่ใช้เงินลงทุน เข้าไปถือหุ้นบริษัทที่ขายไฟฟ้า

ข่าวล่าสุด หุ้น IPO ของ CKP จะเริ่มซื้อขายในตลาด 18 กรกฎาคม 2556
ในราคา หุ้นละ 13  บาท  ราคาพาร์ 5 บาท  จำนวน 220 ล้านหุ้น
และเมื่อรวมส่วนของเจ้าของทั้งหมดจะมี 920 ล้านหุ้น


สำหรับรายละเอียดการวิเคราะห์เจาะประเด็นหุ้น IPO ตัวนี้
เรื่องราวมันค่อนข้างจะซับซ้อน ผมขอแบ่งออกเป็น  4  PART

PART ที่ 1  ผู้ถือหุ้นหลักอย่างเป็นทางการ
CKP ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) 
แต่ก็มีบริษัทอื่นมาถือหุ้น CKP อีกที มี 4 บริษัทดังนี้
1. ช.การช่าง จำกัดมหาชน ถือหุ้น CKP    38%
2. ทางด่วนกรุงเทพ จำกัดมหาชน  ถือหุ้น CKP    30%
3. น้ำประปาไทย จำกัดมหาชน  ถือหุ้น CKP    30%
4. บ.บางปะอิน (ที่ทำโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ)  ถือหุ้น CKP   2%
ตัวเลข 2 % น้อยมากขอไม่นับแล้วกันนะครับ
สรุป CKP มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 บริษัทรวมกันก็ 98% แล้ว เกือบ 100%
ทีเดียว ได้แก่   CK / BMCL / TTW






PART ที่ 2  กระแสไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ

จุดเริ่มต้นมาจากที่บริษัท ช.การช่าง ได้เข้าไปลงทุนสร้างเขื่อน
ขนาด 645 เมกกะวัตต์ในประเทศ สปป.ลาว
ชื่อว่าเขื่อนน้ำงึม2 ที่ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของเมืองหลวงพระบางไป 90 กิโลเมตร

ว่ากันว่าสามารถทนแรงแผ่นดินไหวได้ถึง 9  ริกเตอร์ โดยลงทุนไปด้วยเงินกว่า 3 หมื่นล้านบาท  โดยที่ ช.การช่าง เป็นผู้ลงทุน
และดำเนินการสัมปทานขายไฟฟ้า ได้รับสิทธิ์สัมปทาน จำนวน 25 ปี จากนั้นจะส่งมอบคืนให้กับ สปป.ลาว เป็นเจ้าของต่อไป


 เมื่่อ บริษัท ช.การช่าง ต่อไปขอใช้ชื่อย่อว่า "CK"
 ได้สัมปทานเขื่อนแล้วก็ หันหลังกลับมาลงนามกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ทำสัญญาขายไฟฟ้าที่ผลิตได้
 จากเขื่อนน้ำงึม 2  ให้กับไทยแลนด์ ลงนามรับประกันราคาอยู่ที่ Unit ละ 2 บาท เป็นเวลา 25 ปี เช่น
 เดียวกัน

 จากการหาข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า เขื่อนนี้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 2200 ล้านหน่วยต่อปี
 การค้าขายไฟฟ้า จากเขื่อนนี้จะทำให้เกิดรายได้ต่อปีแก่เจ้าของ
 ที่  2200 ล้านหน่วย x 2.00 บาท  =  4400 ล้านบาท (โอววว.. )

 ที่อุทานเพราะว่า ลงทุน 31,000 ล้านบาท ตัวเลขกลมๆ  8 - 9 ปีก็คืนทุนแล้ว แต่...ยังไม่จบครับ
 เรื่องราวมันซับซ้อนกว่านั้นเยอะ

 แต่ต้องแบ่งความเป็นเจ้าของไป 25 % ให้กับทางลาว ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับทางลาว
 ทำให้เหลือความเป็นเจ้าของของ CK 75%
 ใน 75% นี้ มีความเป็นเจ้าของตกมาถึง CKP 56% ดังนั้น ผมขอลดรายได้ที่จะตกถึงมือลงเหลือ
 4400 x 0.75 x 0.56 = 1,848  ล้านบาทต่อปี  (โอวว.. ตกใจอีกทีรายได้หายไปเยอะนะครับ)



 PART ที่ 3  กระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์

CKP
ถือหุ้น 100% บริษัทบางเขนชัย  8 เมกกะวัตต์ต่อปี
ถือหุ้น   30%  บริษัท NRS  นครราชสีมาโซลาร์ ผลิตไฟฟ้า 6 เมกกะวัตต์ต่อปี
ถือหุ้น   30%  บริษัท CRS เชียงรายโซลาร์  ผลิตไฟฟ้า 8 เมกกะวัตต์ต่อปี




PART ที่ 4  กระแสไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนก๊าซธรรมชาติ
CKP
ถือหุ้น บริษัทบางปะอินโคเจนฯ  65 % ผลิตได้ 117 เมกกะวัตต์แต่ทำสัญญาขายไฟฟ้าที่
90 เมกกะวัตต์ ต่อปี ที่เหลืออีก 27 เมกกะวัตต์ขายให้นิคมบางปะอิน
แต่   โครงการนี้ยังไม่เปิดจำหน่ายขายไฟฟ้า นะครับ จะเริ่มจำหน่ายประมาณ มิถุนายน 56
รายได้ของโครงการนี้จะยังไม่เกิดในงบการเงิน และ มีแนวโน้มว่าจะทำโครงการพลังงานความร้อนก๊าซธรรมชาติโครงการ 2 ขึ้นอีกด้วย ในปี 2557  ซึ่งจะลงทุนประมาณ 4750 ล้านบาท

รายได้ของ  CKP มาจากเงินปันผลจากบริษัทที่ไปถือหุ้นอยู่


แกะงบการเงินไตรมาสแรก











รายได้เกิดขึ้น 1209 ล้านบาท
ต้นทุนขายไฟฟ้าไม่แพงมาก  415 ล้านบาท (ประมาณ 30% ของรายได้ )

แต่มีค่าใช้จ่ายแปลกๆเกิดขึ้น  เรียกว่า ค่าสิทธิฯ  123  ล้านบาท  คิดเป็น 10% ของรายได้ทีเดียว

รวมแล้วมีกำไรขั้นต้น  578  ล้านบาท นับว่าดีเยี่ยม สุดยอดมากทีเดียว ( ประมาณ 50% ของรายได้)
เรียกได้ว่ากำไร ครึ่งๆ ทีเดียว จากรายได้

แต่ถูกหัก ค่าใช้จ่ายทางการเงิน  326  ล้านบาท  ( โอว หักไป 27%)
คาดว่าจำนวนเงินนี้มาจากดอกเบี้ยเงินกู้ ต้นทุนทางการเงินทั้งหลายทีี่่ลงทุนไว้
ทำได้ดีเท่าไหร่ก็ส่งธนาคาร ส่งเจ้าหนี้หมด
รวมกับค่าสิทธิฯ ก็ปาไปกว่า 37% แล้วที่ถูกหักไว้

สุดท้ายเหลือกำไรสุทธิ 251 ล้านบาท คิดเป็น 20% จากรายได้


แต่  (อีกแล้ว)  ดูก่อน  ว่ายอดเงินกำไร 251 ล้านบาทเหลือแบ่งผู้ถือหุ้น โฮลดิ้งคอมพานีแค่....

กระจิ้ดริด ประมาณ 93  ล้านบาท

เมื่อหาร จำนวนหุ้นที่มีอยู่ 920 ล้านหุ้น จะตกกำไรต่อหุ้นอยู่ที่  0.10  บาท เท่านั้น

หมายเหตุ1 : ตัวเลขนี้ผมคิดแกะจากงบการเงินไตรมาสที่ 1 ของปี 2556
                  ซึ่งยังไม่ได้รวมยอดรับรู้รายได้ในส่วนของโรงไฟฟ้าความร้อนร่วมจากก๊าซธรรมชาติ
                  ที่เพิ่งเปิดดำเนินการไปใน เดือน มิถุนายน ปี 2556 นี้เอง
               
               



พอดีงานนี้ผมเพิ่งรีบเขียนขึ้นเพื่อให้ทันกับการขายหุ้นวันแรกในกระดาน  18 กรกฎาคม 2556

หุ้น CKP ราคา 13 บาทต่อหุ้น  (ราคา IPO )

จึงยังไม่ได้ประมาณการรายรับอื่นเพิ่มเติม  ตัวเลขนี้จึงคิดตามงบการเงินเท่านั้น

ในความเป็นจริงจะมีตัวเลขรายรับอื่นอีก ในไตรมาสถัดไป

ซึ่งดูจากธุรกิจแล้ว ผมสามารถคำนวณ คาดเดารายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าได้

ซึ่งค่อนข้างเป็นตัวเลขที่แน่นอน  แต่ขณะยังไม่ได้ทำ เอาไว้มีเวลาจะทำวันหลังลงแจ้งไว้ใน FanPage

www.facebook.com/pages/Stocknature-Style/

ก็แล้วกันนะครับ

สำหรับมุมมองนักลงทุน แบบ VI หากจะถือยาว คิดว่า CKP นี้ค่อนข้างมีกำไรที่แน่นอนคงที่ไปเรื่อยๆ

แม้เศรษฐกิจต่างประเทศจะเป็นอย่างไร  รายรับรายได้ก็ยังเหมือนเดิมไม่ค่อยมีผลกระทบ หากจะยกเลิก

QE จริงๆ

แต่กำไรก็จะไม่เยอะมาก อย่างที่ควรจะเป็น

ซึ่งจะต้องแก้ไขปัญหาเรื่องต้นทุนของเงินทุน ที่มีสูงมากทีเดียว ซึ่งราคาที่เห็นในงบการเงินนี้นั้น

ขนาดต่อให้แล้ว 100 เมตรเหมือนการวิ่งแข่ง ยังไม่สามารถเข้าเส้นชัยได้ที่ 1 เลย

อะไรคือต่อให้ ----->   สิทธิประโยชน์ทาง BOI ที่ส่งเสริมการลงทุน ยกเว้นภาษีเงินได้ 5 ปี
                               (กำไร 252 ล้าน เสียภาษีแค่ 8.4 แสนบาทเองปกติต้องเสียเป็น 60 ล้านบาทนู่น )
                               การรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทน ยูนิตละ 8 บาท  เป็นต้น

โอกาสโต    =    มีบ้างแต่ไม่มาก  เพราะรัฐบาลตีกรอบการเติบโตไว้ คือเติบโตได้แบบมี Limit
                        ในพลังงานไฟฟ้าแต่ละประเภท ในแผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้า ถึงปี พ.ศ.2573
                        และคู่แข่งก็มีมากพอสมควรในตลาด พลังงานทดแทน
                        การเติบโตที่จะมีได้นั้น  ต้องลงทุนอีกหลายพันล้าน เพื่อจะโตหลักสิบหลักร้อยล้าน
                        ซึ่งของเก่าก็ดูจะมีภาระหนี้สินค่อนข้างมากอยู่  จนกว่าจะใช้หนี้หมดหรือปรับปรุง
                        ภาระการเงิน โอกาสที่จะดูหล่อกว่านี้ถึงจะตามมา

  



                             











วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รีวิว APP หุ้น ใน IPAD " OppDay "



สวัสดีครับ พบกับ Stocknature กันอีกครั้ง  วันนี้เราจะมานำเสนอ
เครื่องมืออย่างหนึ่งสำหรับนักลงทุนในหุ้นกันนะครับ
เป็นแอพพลิเคชั่นใน Ipad มีชื่อเต็มๆว่า " Opportunity Day "

ในวันที่ตลาดหลักทรัพย์จัดกิจกรรมบริษัทมหาชนพบนักลงทุน เราจะเรียกวันนั้นว่า วัน Opp Day
ชื่อเต็มๆก็ Opportunity Day เป็นวันที่ นักลงทุนจะได้พบป่ะ พูดคุยรับฟัง วิสัยทัศน์ผู้บริหาร
แนวโน้มทางธุรกิจของบริษัท ว่าจะเป็นไปอย่างไร ในทิศทางใด และรับทราบผลประกอบการล่าสุดของ
บริษัทหลังการประกาศงบการเงินทุกไตรมาส

ถือว่าเป็น App ที่ดีมากๆเลย
เปิดแอพเข้าไป จะเจอหน้าตาแบบนี้ครับ
จะมีจอด้านขวามือเล็กๆ เป็นกราฟ SET วันทำการล่าสุดที่เปิด-ปิด เป็นอย่างไร
อันถัดไปเป็นกราฟของตลาด Mai
และตัวเลือกสุดท้ายเป็น สรุปข้อมูลการซื้อ-ขายในแต่ละวันจำแนกตามประเภทของนักลงทุน


มี 5 ตัวเลือก ให้เราคลิ้กเข้าไปดูกันได้ 

อันที่ 1 เป็น Opportunity Day  -  เป็นภาพและวีดีโอเกี่ยวกับงานกิืจกรรมการพบผู้ลงทุนของแต่ละบริษัท
อันที่ 2 เป็น Fact Sheet  -  เป็นข้อมูล เกี่ยวกับราคาหุ้น งบการเงิน อื่นๆ เกี่ยวกับบริษัทนะครับ
อันที่ 3 เป็น Stock Focus  -  เป็นคลังความรู้ มีหนังสือให้เลือกดาวน์โหลดเต็มไปหมด เหมือนห้องสุมดเกี่ยวกับหุ้นย่อมๆ เลยทีเดียวนะครับ
อันที่ 4 Annual Report  -  ก็เป็นรายงานประจำปี ของหุ้นแต่ละตัวนะครับ สามารถเปิดอ่านดาวน์โหลดได้เลย
อันที่ 5 Calendar - เป็นปฏิทินวันสำคัญของหุ้น
เรามาลองเข้าไปดูกันข้างในเลยดีกว่า ว่ามีอะไรเป็นอย่างไรบ้าง


                                                              Opportunity Day


เปิดเข้ามา ก็จะเจอคลิปแนะนำ และก็รายชื่อบริษัททั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์
เลื่อนลงมาก็จะมีรายชื่อบริษัท มากมาย สามารถเลื่อนไปทางขวาในแถวมีหุ้นอีกนะครับ
สำหรับคนที่หารายชื่อตัวที่จะดูไม่พบ



มันมีเยอะมากจนตาลาย
ผมลองเปิดตัวที่กำลังเล็งๆไว้สักตัว  บิวตี้


 เปิดเข้ามาก็จะพบกับคลิปของ บริษัทบิวตี้ เลย
 แถลงผลประกอบการ และอื่นๆมากมายนะครับ
 ส่วนข้างล่างก็จะมีแถบ โลโก้ บริษัทอื่นๆ ให้เลือกเข้าไปดูได้อีก โดยไม่ต้องกลับไปหน้าแรก

 ด้านล่างขวา มีคำว่า Price กับ Factsheet
 ผมลองกดเข้าไปดู ตรง Price ก็ขึ้นหน้าแบบนี้


เปนข้อมูลที่เชื่อมโยงกับ Settrade.com นั้นเองครับ
ส่วนอีกอัน ก็คือ Factsheet กดเข้าไปก็เป็นหน้าแบบนี้


เป็นข้อมูลในตลาดหลักทรัพย์นั่นเอง แต่ข้อมูลจะยังไม่อัพเดทแบบเรียลไทม์นัก


 Fact Sheet
  เมื่อเลือกเข้ามาจะพบกับรายชื่อบริษัทมากมาย

 สามารถกดเปลี่ยนกลุ่มรายชื่อบริษัทได้ ว่าจะให้เป็นในกลุ่ม SET100 หรือ ตลาด MAI
หรือ จะเลือกหุ้น ตามกลุ่มอุตสาหกรรมก็ได้ ดังรูป


ผม ลองเลือกมาสักบริษัทหนึ่ง  พอกดเข้าไปก็จะพบข้อมูลเหมือนในเวปไซต์ www.set.or.th
แสดงว่าข้อมูลเชื่อมโยงกัน ซึ่งข้อมูลที่ปรากฎในนั้นอาจจะยังไม่อัพเดทล่าสุด
หากจะเลือกใช้ก็ต้องเข้าใจว่าข้อมูลยังเป็นอดีตกันอยู่นะครับ


  Stock Focus

 เอาล่ะ เราลองมาดูตัวเลือกอันถับไปนะครับ Stock focus

จะพบหนังสือเอกสาร เรื่องราวต่างๆเป็นไฟล์ PDF ให้ดาวน์โหลดมาอ่านกันอย่างจุใจเลยทีเดียว

Annual Report

รายงานประจำปีของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ครับ น่าจะมีครบทุกตัวเลยก็ว่้าได้
แต่ต้องดาวน์โหลดมาก่อน



Calendar

ตัวสุดท้ายครับ ตัวนี้สำคัญทีเดียวกับปฏิทินหุ้น เราลองมาดูกันนะครับ
เปิดมาหน้าแรกจะเป็นปฏิทินวัน OPP Day วึ่งในเดือนกรกฏาคม นั้นยังไม่มีนะครับ


เราลองเลือกตัวเลือกถัดมา Stock&Right ก็คงเป็นพวก หุ้นและสิทธิประโยชน์กันนะครับ
เป็นหุ้นที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD (วันประกาศปันผล) , XM (วันประกาศขายหุ้นเพิ่มทุน)
ประมาณนี้นะครับ


ลองคลิ้กเข้าไปดูก็จะพบรายละเอียดคร่าวๆ นะครับ ไม่มากมายนัก
วัตถุประสงค์ก็คงเพื่อไว้เตือนความจำกันนั่นเอง ไม่ได้ตั้งใจจะให้เน้นรายละเอียดมากนัก
แม็คกรุ้ป เพิ่งเข้าตลาดมาไม่นานก็จ่ายปันผลซะแล้ว 



 ส่วนอันสุดท้าย Economic Indicator ก็น่าจะเป็นวันสำคัญๆ ของทั้งในและต่างประเทศ ที่จะมีการ
 จัดประชุมแถลงข่าวตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ เอาไว้ให้นักลงทุนได้ติดตามกัน

 สรุป

ผมค่อนข้างพอใจกับแอพพลิเคชั่นตัวนี้มาก สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีและยังให้ข้อมูลจุใจเต็มอิ่ม
เรียกได้ว่าคุ้มเกินคุ้มและที่สำคัญฟรีครับ  อันนี้สำคัญ แถมยังมีหนังสือตำรา สามารถดาวน์โหลดมาอ่านกันได้อีก  เรียกได้ว่าฟรีไม่พอ ยังให้ของแถมกลับไปบ้านอีก งานนี้คุ้มเกินคุ้มจริงๆ  ใครจะหาข้อมูลหุ้นตัวไหนและแนวโน้มกิจการในอนาคตจะเป็นอย่างไร ไปในทิศทางใด ก่อนซื้อหุ้นเข้าพอร์ตก็เข้ามาหาข้อมูลในแอพพลิเคชั่นนี้ก่อนก็ดีนะครับ เพื่อให้รู้ว่าเรากำลังจะลงทุนลงแรงกับหุ้นอะไร บริษัทอย่างไร
ดีจริงไหม  

สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อนแต่เพียงเท่านี้ หากกระผมมีเวลาเดี๋ยวจะหารีวิวแอพพลิเคชั่นเกี่ยวกับหุ้นให้อีกนะครับ  หวังว่าข้อมูลเหล่านี้คงจะมีประโยชน์กับหลายๆท่าน สวัสดีครับ

ชื่อแอพพลิเคชั่น :   Set Opp Day
คะแนน   :   5     ดาว