ช่วงนี้หุ้น IPO ออกมามากมายให้เลือกหลายบริษัททีเดียวไหนจะกางเกงยีนส์ ไหนจะอาหาร
ตอนนี้ก็ถึงคิวของกลุ่มพลังงาน CKP แม้จะอยู่ในกลุ่มพลังงานก็จริงแต่เน้นด้านพลังงานไฟฟ้า
ที่ขายพลังงานไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้า เป็นบริษัทลูกที่แยกออกมาจาก บริษัทช.การช่าง
เน้นดูแลด้านการขายไฟฟ้าโดยเฉพาะ เป็นแนวบริษัทแบบที่ใช้เงินลงทุน เข้าไปถือหุ้นบริษัทที่ขายไฟฟ้า
ข่าวล่าสุด หุ้น IPO ของ CKP จะเริ่มซื้อขายในตลาด 18 กรกฎาคม 2556
ในราคา หุ้นละ 13 บาท ราคาพาร์ 5 บาท จำนวน 220 ล้านหุ้น
และเมื่อรวมส่วนของเจ้าของทั้งหมดจะมี 920 ล้านหุ้น
สำหรับรายละเอียดการวิเคราะห์เจาะประเด็นหุ้น IPO ตัวนี้
เรื่องราวมันค่อนข้างจะซับซ้อน ผมขอแบ่งออกเป็น 4 PART
PART ที่ 1 ผู้ถือหุ้นหลักอย่างเป็นทางการ
CKP ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company)
แต่ก็มีบริษัทอื่นมาถือหุ้น CKP อีกที มี 4 บริษัทดังนี้
1. ช.การช่าง จำกัดมหาชน ถือหุ้น CKP 38%
2. ทางด่วนกรุงเทพ จำกัดมหาชน ถือหุ้น CKP 30%
3. น้ำประปาไทย จำกัดมหาชน ถือหุ้น CKP 30%
4. บ.บางปะอิน (ที่ทำโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ) ถือหุ้น CKP 2%
ตัวเลข 2 % น้อยมากขอไม่นับแล้วกันนะครับ
สรุป CKP มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 บริษัทรวมกันก็ 98% แล้ว เกือบ 100%
ทีเดียว ได้แก่ CK / BMCL / TTW
PART ที่ 2 กระแสไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ
จุดเริ่มต้นมาจากที่บริษัท ช.การช่าง ได้เข้าไปลงทุนสร้างเขื่อน
ขนาด 645 เมกกะวัตต์ในประเทศ สปป.ลาว
ชื่อว่าเขื่อนน้ำงึม2 ที่ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของเมืองหลวงพระบางไป 90 กิโลเมตร
ว่ากันว่าสามารถทนแรงแผ่นดินไหวได้ถึง 9 ริกเตอร์ โดยลงทุนไปด้วยเงินกว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยที่ ช.การช่าง เป็นผู้ลงทุน
และดำเนินการสัมปทานขายไฟฟ้า ได้รับสิทธิ์สัมปทาน จำนวน 25 ปี จากนั้นจะส่งมอบคืนให้กับ สปป.ลาว เป็นเจ้าของต่อไป
เมื่่อ บริษัท ช.การช่าง ต่อไปขอใช้ชื่อย่อว่า "CK"
ได้สัมปทานเขื่อนแล้วก็ หันหลังกลับมาลงนามกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ทำสัญญาขายไฟฟ้าที่ผลิตได้
จากเขื่อนน้ำงึม 2 ให้กับไทยแลนด์ ลงนามรับประกันราคาอยู่ที่ Unit ละ 2 บาท เป็นเวลา 25 ปี เช่น
เดียวกัน
จากการหาข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า เขื่อนนี้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 2200 ล้านหน่วยต่อปี
การค้าขายไฟฟ้า จากเขื่อนนี้จะทำให้เกิดรายได้ต่อปีแก่เจ้าของ
ที่ 2200 ล้านหน่วย x 2.00 บาท = 4400 ล้านบาท (โอววว.. )
ที่อุทานเพราะว่า ลงทุน 31,000 ล้านบาท ตัวเลขกลมๆ 8 - 9 ปีก็คืนทุนแล้ว แต่...ยังไม่จบครับ
เรื่องราวมันซับซ้อนกว่านั้นเยอะ
แต่ต้องแบ่งความเป็นเจ้าของไป 25 % ให้กับทางลาว ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับทางลาว
ทำให้เหลือความเป็นเจ้าของของ CK 75%
ใน 75% นี้ มีความเป็นเจ้าของตกมาถึง CKP 56% ดังนั้น ผมขอลดรายได้ที่จะตกถึงมือลงเหลือ
4400 x 0.75 x 0.56 = 1,848 ล้านบาทต่อปี (โอวว.. ตกใจอีกทีรายได้หายไปเยอะนะครับ)
PART ที่ 3 กระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์
CKP
ถือหุ้น 100% บริษัทบางเขนชัย 8 เมกกะวัตต์ต่อปี
ถือหุ้น 30% บริษัท NRS นครราชสีมาโซลาร์ ผลิตไฟฟ้า 6 เมกกะวัตต์ต่อปี
ถือหุ้น 30% บริษัท CRS เชียงรายโซลาร์ ผลิตไฟฟ้า 8 เมกกะวัตต์ต่อปี
PART ที่ 4 กระแสไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนก๊าซธรรมชาติ
CKP
ถือหุ้น บริษัทบางปะอินโคเจนฯ 65 % ผลิตได้ 117 เมกกะวัตต์แต่ทำสัญญาขายไฟฟ้าที่
90 เมกกะวัตต์ ต่อปี ที่เหลืออีก 27 เมกกะวัตต์ขายให้นิคมบางปะอิน
แต่ โครงการนี้ยังไม่เปิดจำหน่ายขายไฟฟ้า นะครับ จะเริ่มจำหน่ายประมาณ มิถุนายน 56
รายได้ของโครงการนี้จะยังไม่เกิดในงบการเงิน และ มีแนวโน้มว่าจะทำโครงการพลังงานความร้อนก๊าซธรรมชาติโครงการ 2 ขึ้นอีกด้วย ในปี 2557 ซึ่งจะลงทุนประมาณ 4750 ล้านบาท
รายได้ของ CKP มาจากเงินปันผลจากบริษัทที่ไปถือหุ้นอยู่
แกะงบการเงินไตรมาสแรก
รายได้เกิดขึ้น 1209 ล้านบาท
ต้นทุนขายไฟฟ้าไม่แพงมาก 415 ล้านบาท (ประมาณ 30% ของรายได้ )
แต่มีค่าใช้จ่ายแปลกๆเกิดขึ้น เรียกว่า ค่าสิทธิฯ 123 ล้านบาท คิดเป็น 10% ของรายได้ทีเดียว
รวมแล้วมีกำไรขั้นต้น 578 ล้านบาท นับว่าดีเยี่ยม สุดยอดมากทีเดียว ( ประมาณ 50% ของรายได้)
เรียกได้ว่ากำไร ครึ่งๆ ทีเดียว จากรายได้
แต่ถูกหัก ค่าใช้จ่ายทางการเงิน 326 ล้านบาท ( โอว หักไป 27%)
คาดว่าจำนวนเงินนี้มาจากดอกเบี้ยเงินกู้ ต้นทุนทางการเงินทั้งหลายทีี่่ลงทุนไว้
ทำได้ดีเท่าไหร่ก็ส่งธนาคาร ส่งเจ้าหนี้หมด
รวมกับค่าสิทธิฯ ก็ปาไปกว่า 37% แล้วที่ถูกหักไว้
สุดท้ายเหลือกำไรสุทธิ 251 ล้านบาท คิดเป็น 20% จากรายได้
แต่ (อีกแล้ว) ดูก่อน ว่ายอดเงินกำไร 251 ล้านบาทเหลือแบ่งผู้ถือหุ้น โฮลดิ้งคอมพานีแค่....
กระจิ้ดริด ประมาณ 93 ล้านบาท
เมื่อหาร จำนวนหุ้นที่มีอยู่ 920 ล้านหุ้น จะตกกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.10 บาท เท่านั้น
หมายเหตุ1 : ตัวเลขนี้ผมคิดแกะจากงบการเงินไตรมาสที่ 1 ของปี 2556
ซึ่งยังไม่ได้รวมยอดรับรู้รายได้ในส่วนของโรงไฟฟ้าความร้อนร่วมจากก๊าซธรรมชาติ
ที่เพิ่งเปิดดำเนินการไปใน เดือน มิถุนายน ปี 2556 นี้เอง
พอดีงานนี้ผมเพิ่งรีบเขียนขึ้นเพื่อให้ทันกับการขายหุ้นวันแรกในกระดาน 18 กรกฎาคม 2556
หุ้น CKP ราคา 13 บาทต่อหุ้น (ราคา IPO )
จึงยังไม่ได้ประมาณการรายรับอื่นเพิ่มเติม ตัวเลขนี้จึงคิดตามงบการเงินเท่านั้น
ในความเป็นจริงจะมีตัวเลขรายรับอื่นอีก ในไตรมาสถัดไป
ซึ่งดูจากธุรกิจแล้ว ผมสามารถคำนวณ คาดเดารายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าได้
ซึ่งค่อนข้างเป็นตัวเลขที่แน่นอน แต่ขณะยังไม่ได้ทำ เอาไว้มีเวลาจะทำวันหลังลงแจ้งไว้ใน FanPage
www.facebook.com/pages/Stocknature-Style/
ก็แล้วกันนะครับ
สำหรับมุมมองนักลงทุน แบบ VI หากจะถือยาว คิดว่า CKP นี้ค่อนข้างมีกำไรที่แน่นอนคงที่ไปเรื่อยๆ
แม้เศรษฐกิจต่างประเทศจะเป็นอย่างไร รายรับรายได้ก็ยังเหมือนเดิมไม่ค่อยมีผลกระทบ หากจะยกเลิก
QE จริงๆ
แต่กำไรก็จะไม่เยอะมาก อย่างที่ควรจะเป็น
ซึ่งจะต้องแก้ไขปัญหาเรื่องต้นทุนของเงินทุน ที่มีสูงมากทีเดียว ซึ่งราคาที่เห็นในงบการเงินนี้นั้น
ขนาดต่อให้แล้ว 100 เมตรเหมือนการวิ่งแข่ง ยังไม่สามารถเข้าเส้นชัยได้ที่ 1 เลย
อะไรคือต่อให้ -----> สิทธิประโยชน์ทาง BOI ที่ส่งเสริมการลงทุน ยกเว้นภาษีเงินได้ 5 ปี
(กำไร 252 ล้าน เสียภาษีแค่ 8.4 แสนบาทเองปกติต้องเสียเป็น 60 ล้านบาทนู่น )
การรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทน ยูนิตละ 8 บาท เป็นต้น
โอกาสโต = มีบ้างแต่ไม่มาก เพราะรัฐบาลตีกรอบการเติบโตไว้ คือเติบโตได้แบบมี Limit
ในพลังงานไฟฟ้าแต่ละประเภท ในแผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้า ถึงปี พ.ศ.2573
และคู่แข่งก็มีมากพอสมควรในตลาด พลังงานทดแทน
การเติบโตที่จะมีได้นั้น ต้องลงทุนอีกหลายพันล้าน เพื่อจะโตหลักสิบหลักร้อยล้าน
ซึ่งของเก่าก็ดูจะมีภาระหนี้สินค่อนข้างมากอยู่ จนกว่าจะใช้หนี้หมดหรือปรับปรุง
ภาระการเงิน โอกาสที่จะดูหล่อกว่านี้ถึงจะตามมา
แก้ไข จำนวนหุ้น เป็น 920 ล้าน + 220 ล้าน = 1140 ล้านหุ้นจ้า
ตอบลบ"กระจิ้ดริด ประมาณ 93 ล้านบาท" เอา 251 ล้านบาท ไปคำนวนกับอะไรหรอครับ
ตอบลบครับ ก็ในรูปภาพสุดท้ายนะครับ เงินกำไรสุทธิ 251 ล้านบาท จะแบ่งออกเป็น 2 ก้อน
ลบก้อนแรก ให้กับ ส่วนผู้ถือหุ้นบริษัท 92.88 ล้านบาท ที่ ณ วันนั้นที่ทำงบการเงิน
มีหุ้นอยู่ 920 ล้านหุ้น
ส่วนเงินกำไรก้อนที่สอง 158.8 ล้านบาท จะเป็นของคนอื่น มีความหมายคือไม่ใช่ส่วนแบ่งของ CKP นั่นเอง
อธิบายแบบยากๆตามนี้ครับ....
" การปนสวนมูลคาทางบัญชีของบริษัทยอยในสวนที่ไมใชสวนไดเสียของบริษัท ซึ่งประกอบดวยรอยละ 25
ของมูลคาทางบัญชีของ NN2 และรอยละ 44 ของมูลคาทางบัญชีของ SEAN ซึ่งคิดเปนมูลคารวมกันทั้งสิ้น
6,130.87 ลานบาทและ (2) การปนสวนสิทธิในการดําเนินการผลิตและจําหนายไฟฟาสุทธิในสวนที่มิไดเปนสวน
ไดเสียในบริษัทหรือสวนที่เปนของผูถือหุนสวนที่เหลือรอยละ 25 ใน NN2 และรอยละ 44 ใน SEAN ซึ่งมีมูลคา
รวมกันทั้งสิ้น 6,922.34 ลานบาท
ในไตรมาส 1 ป 2556 บริษัทมีสวนของผูถือหุนที่ไมมีอํานาจควบคุมของบริษัทยอยจํานวน 13,212.01
ลานบาท เพิ่มขึ้นจากป 2555 จํานวน 158.80 ลานบาท ซึ่งเกิดจากการปนสวนกําไรสุทธิสําหรับงวดในสวนที่
ไมไดเปนของบริษัททั้งจํานวน
รายได้ในไตรมาสหนึ่ง มีรายการกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 200 ล้าน ส่วนนี้เป็นเพียงตัวเลข ไม่ได้รับเงินจริง รายได้ทั้งปีน่าจะประมาณว่า (1000 x 4) + 200 + รายได้ครึ่งปี จาก รง cogen 76 MW
ตอบลบรายได้ทั้งปีไม่น่าจะเกิน 6000 ล้าน กำไรสุทธิ 60 สตางค์ต่อหุ้น
โรงไฟฟ้าลงทุนสูงทุกแห่งค่ะ บางบริษัทอาศัยเงินกู้เกือบเต็ม 100% โดยที่ต้องจำนองกระทั่งสัญญาเช่า สนง และกรมธรรม์ประกันภัย รวมทั้งสัญญาแบ่งรายได้ แต่นักลงทุนไทยไม่ชอบคิดเลขค่ะ ก็จะเหมารวมหมดเป็นรายได้ของบริษัทนั้นๆทั้งหมด ทำให้มีการไล่ราคาหุ้นกันสูงจนเกินจริงหลายเท่าตัว โหน PE สูงลิบลิ่วในระดับ 50-100 เท่า เพราะลงทุนซื้ออนาคตในโครงการที่ยังไม่ได้เริ่มสร้างด้วยซ้ำไป
รายได้ในอนาคตจะเพิ่มขึ้น ก็ต่อเมื่อมีการสร้าง รง เพิ่ม เพื่อผลิตไฟขายเพิ่ม ต้องมีการลงทุนเพิ่ม
ซึ่งหนีไม่พ้นการกู้ หรือเพิ่มทุน หรือทั้งสองอย่าง....ซึ่งจะเกิดรายจ่ายต้นทุนการเงินและ dilution
ให้ความชัดเจนดีมากเลยครับ ^^
ลบ