จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการเล่นหุ้นยามตลาดหุ้นตกแบบไม่เกรงใจเศรษฐกิจโลก

















ดูตามรูปประกอบเลยนะครับ  เหตุเกิดจาก
ไม่กี่วันที่ผ่านมา ตลาดหุ้นบ้านเราลงหนักอย่างบ้าคลั่ง SET เกิดคลุ้มคลั่งกระโดดลงหน้าผาที่ 1440 จุด
เหลือเพียง 1293 จุด ตกลงมาราวๆ 150 จุดทีเดียว ซึ่งมีสาเหตุมากมาย มีหลายปัจจัยและมีนักลงทุนหลายท่านได้ให้ความเห็นไว้อย่างล้นเหลือ

เมื่อพินิจดูกราฟ เส้นค่าเฉลี่ย 3 เส้นตัดกันในทิศทางลง เกิด Golden Cross หัวตก บ่งบอกในเชิงสถิติว่า กำลังเป็นช่วงตลาดขาลง อย่างชัดเจนมาก มีการขายกระหน่ำโดยชาวต่างชาติมากกว่า
แสนล้า่นบาทแล้ว

บริษัทที่ดีๆ มีชื่อเสียง ในไทยหลายแห่ง มีผลกำไรที่ดีและยังมีแนวโน้มเติบโตอยู่
เมื่อหุ้นตก นั่นคือจังหวะซื้อหุ้นนั่นเอง  เพราะราคาหุ้นของบริษัทที่ดีเหล่านี้ ในช่วงตลาดขาขึ้น มักจะไม่ได้สะท้อนความจริงในอดีต  เพราะแบกความคาดหวังของนักลงทุนไว้สูง ได้ย่อลงมาอย่างมาก

เศรษฐกิจของโลกของเรา กำลังปั่นป่วน จากสาเหตุอะไรก็ตาม แต่กิจการที่ยังคงอยู่ได้ใน SET นั้น
ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
หมายเหตุ :   ผมไม่ได้บอกว่าราคาหุ้นของกิจการเหล่านี้จะไม่ลงตามตลาดขาลงนะครับ
                    แต่กิจการเหล่านี้แหล่ะที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนของเรา และกิจการเหล่านั้นต้อง
                    มีทั้ง 6 ข้อครบนะครับถ้าไม่ครบก็ต้องให้ได้จำนวนข้อมากที่สุดก็เป็นดี

1. กิจการที่รายได้จากในประเทศเป็นหลัก และเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ
         เมื่อค่าเงินบาทอ่อนแบบนี้ และเศรษฐกิจของโลกยังปั่นป่วน การจะอยู่รอดได้เราต้องพึ่่งพาตนเอง
          กิจการที่เป็นเหมือนของตาย ภาษาเชิงเศรษฐศาสตร์ เรียกว่า Brand Loyalty ที่มีรายได้จากคน
         ไทยเป็นหลักไม่ว่า จะ ฝนตก แดดออก  GDP จะเพิ่มจะลดลง คนจะหนี้สินมาก-น้อย กิจการเหล่านี้ 
          ก็ยังอยู่ได้ และมีรายได้ไหลเข้ามาตลอดเวลา
          ผมขอยกตัวอย่างกิจการพวก ร้านอาหาร น้ำอัดลม  การให้บริการอินเตอร์เน็ต  มือถือ สมาร์ทโฟน 
          ความบันเทิง  ค้าขายค้าปลีก 

2. กิจการที่ไม่กู้เงินต่างประเทศเป็นส่วนมาก
          ช่วงที่ค่าเงินบาทอ่อนแบบนี้ หนี้สินที่เคยกู้มาสมมติ 1,000 ล้านบาทเมื่อตอน US Dollar 29 บาท
          พอค่าเงินเปลี่ยน US Dollar 32.3 บาท จากหนี้สินเดิม 1,000 ล้านบาท จะกลายเป็น  1,113.8 ล้าน
          หนี้สินเดิม เพิ่มสูงขึ้น 11.4% จากการนอนอยู่บ้านเฉยๆ นั่นรวมถึงค่าเงินเย็นญี่ปุ่นด้วย

3. กิจการที่ 8 ปีที่ผ่านมาไม่เคยขาดทุน
          การที่บริษัทดำเนินกิจการมาได้ 8 ปีไม่เคยขาดทุนแสดงว่าเป็นกิจการที่มั่นคงแข็งแกร่งทางการ
          เงินการบริหารจัดการสูงในระดับหนึ่ง อย่างน้อยๆช่วง วิกฤตเศรษฐกิจต่างๆ
          วิกฤตซับไพร์ม หรือน้ำท่วมประเทศไทย ครั้งใหญ่บริษัทนั้นก็ไม่ได้รับผลกระทบมาก แต่อย่างใด
          หรือได้รับผลกระทบ แต่มีวิธีบริหารจัดการที่รับมือได้ไหว
          
4. กิจการที่่มีเงินปันผลจ่ายตลอด 5 ปีที่ผ่านมาและเปอร์เซ็นต์เงินปันผลต้องมากกว่าเงินเฟ้อ
          การที่ตลาดหากยังเป็นขาลงอยู่อย่างยาวนาน ผลตอบแทนที่เราจะได้รับอย่างน้อย ก็ต้องมากกว่า
          ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารและต้องเป็ันมูลค่าเงินปันผลที่ชนะเงินเฟ้อ เมื่อเราคำนวณดีดลูกคิดแล้ว
          เงินเย็นสำหรับการลงทุนของเรา หากนอนนิ่งอยู่ในธนาคาร คงจะดีกว่ามากหากเรานำมาลงทุนใน
          กิจการที่มีเงินปันผล ยิ่งราคาลงมากๆจำนวนเงินปันผลก็จะได้รับสูงขึ้น

 5. กิจการที่กองทุนนิยมถือครอง  เรียกว่า หุ้นพิมพ์นิยม       
          กองทุน คือ ผู้ที่มีกำลังซื้อ และมีการประเมินผลการดำเนินงานอยู่ตลอด ดังนั้นกองทุน คือผู้ที่จะไม่
          ยอมให้หุ้นที่ตัวเองถือนั้น ขาดทุนได้ เพราะจะทำให้ศักยภาพ ความน่าเชื่อถือ ลดลงและลูกค้าจะ
          ไม่เชื่อมั่น หากหุ้นตัวไหนจะวิ่งขึ้นได้ก่อน ก็คงไม่แคล้วจะเป็นตัวหลักๆของกองทุนแต่ละแแห่ง

6. กิจการที่ PE ต่ำได้จะดี (PE แต่ละคนไม่เหมือนกันอาจารย์อา ของผมท่านแนะนำ 8-10)
          ข้อนี้น่าจะยากเพราะ หากกิจการใดมีครบ 5 ข้อข้างบนที่กล่าวมาแล้วนั้น เรามักจะพบว่า PE ไม่ต่ำ
          แต่ถ้าใครหาเจอได้ละก็ ถือว่าแจ๊กพอร์ทละครับ

เอาละ หลังจากเราเลือกกิจการที่เข้าตามหลักเกณฑ์ 5-6 ข้อข้างบนนั้นแล้ว ใช่ว่าจะซื้อหุ้นได้แล้วนะครับ
ลิสต์รายการออกมาเก็บไว้ก่อนและมาศึกษาดูกราฟตัวนี้ของผม เพื่อหากลยุทธ์ในการเข้าทำ นั่นก็คือจังหวะตีนั้นเอง

















จากภาพ

หากเรามองภาพของ SET นั้นในระยะทางอันยาวไกล ตลาดหุ้นบ้านเรานั้นยังถือว่าเป็นขาขึ้นอยู่ยกเว้นเพียงแต่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ 3 เหตุการณ์นี้ ในช่วง 1- 3 ปี ต้องดูไปทีละเหตุการณ์เป็น Step นะครับ

Step 1 : SET หลุดแนว 1270 จุด
ด่านสกัดที่ 1 แตก แปลว่าตลาดลงต่อแน่นอน ช่วงนี้ให้สังเกตแนวโน้มว่าจะมีการส่งสัญญาณกลับตัวหรือยัง ถ้ายังมีสิทธิ์ที่จะลงต่อ วิธีการหาสัญญาณกลับตัว แต่ละท่านก็มีวิธีการหาไม่เหมือนกัน ลองศึกษาดู
จากที่นี่ได้     http://www.stock2morrow.com/showthread.php?p=331719

โปรดจำไว้ (การดูสัญญาณจากกราฟก็เหมือนวิชาสถิติ ไม่ได้แปลว่า 100%)
ถ้ามีสัญญาณกลับตัวให้ซื้อช่วงนี้ แต่ถ้าไม่มีสัญญาณให้ดูต่อไป รอ Step 2

Step 2 : SET หลุดแนว 1100 จุด
เหมือนกันกับ Step 1 หากด่านตั้งรับที่ 2 แตกพ่าย แปลว่าตลาดลงต่อแน่นอน ช่วงนี้ให้สังเกตแนวโน้มว่าจะมีการส่งสัญญาณกลับตัวหรือยัง ถ้ายังมีสิทธิ์ที่จะลงต่อ
ถ้ามีสัญญาณกลับตัวให้ซื้อช่วงนี้ แต่ถ้าไม่มีสัญญาณให้ดูต่อไป รอ Step 3

Step 3 : SET หลุดแนว  950  จุด
ขอแสดงความยินดีด้วย ท่านได้พบกับวิกฤตเศรษฐกิจของชาติ ครั้งใหม่ ท่านมีโอกาสจะได้เป็นเซียนหุ้นคนใหม่ของเมืองไทย การเตรียมตัวช่วงนี้ให้ ทำงานหาเงินมาให้มาก เพื่อนำเงินมาลงทุนในตลาดหุ้น ที่คาดว่าช่วงนั้นคงไม่มีใครเทรดกันแล้ว โอกาสงามๆไม่ได้หากันง่ายๆ และประวัติศาสตร์จะได้จารึกชื่อท่านไว้ ถ้าหากหลุดด่าน 950 จุด ครั้งนี้ไปจะไม่สามารถคาดการณ์ใดๆได้เลย แนวรับต่อไป 750 จุดและ 400 จุด

สุดท้ายทุกๆครั้งของการเทรด โปรดระลึกไว้ จงอย่าโลภและมีสติ









วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วิวัฒนาการสู่โลกอารยธรรม Mega Trend ตอนที่ 2: พบกับตัวแทนกลุ่มพลังงานทดแทน พลังงานชาติ พลังงานแห่งอนาคต SPCG

SPCG ทำอะไร ??


SPCG จัดอยุ่ในหุ้นกลุ่มพลังงาน
รายได้หลักๆก็มาจาก พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ โดยใช้แผงรับแสง ทำกันเหมือนฟาร์มผัก
ปลูกเรียงรายกันไป เราเลยนิยมเรียกกันว่า โซลาร์ฟาร์ม
นอกเหนือจากนั้น SPCG ก็ยังมีธุรกิจขายและติดตั้งเหล็กแผ่นเมทัลชีท (ที่ใช้ทำหลังคา) รวมอยู่ด้วย

SPCG มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ที่ทำสัญญาเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว 36 ฉบับ ด้วยกัน
ซึ่งสัญญาทั้ง 36 ฉบับนี้ จะต้องทำการก่อสร้าง โซลาร์ฟาร์ม แบบในรูปภาพข้างบนอีก 36 โครงการ
โครงการละ 6 เมกกะวัตต์ รวมกำลังการผลิตทั้งหมด 36 โครงการขนาดกำลังการผลิต 240 เมกะวัตต์และต้องขายไฟฟ้า ที่ผลิตได้ดังกล่าว ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเท่านั้น
ซึ่ง การไฟฟ้าจะรับซื้อไฟฟ้าในราคาหน่วยละ 8 บาท เป็นระยะเวลา 10 ปี


ข้อมูลใหม่

**ปัจจุบันได้มีการปรับลดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าไปแล้วจาก 8.0 บาทต่อหน่วย เป็น 6.50 บาทต่อหน่วย ตั้งแต่เดือน มิถุนายน 2553 **


ตอนนี้SPCG ทำการก่อสร้างแล้วเสร็จไปแล้ว 22 โครงการ     โซลาร์ฟาร์ม คงเหลืออีก 14 โครงการด้วยกันก็จะครบดีล

SPCG ได้สิทธิพิเศษจากการส่งเสริมการลงทุนของ BOI
เด่นๆดังนี้

-ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์

-ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการ มีกำหนด 8 ปี นับจากวันที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการนั้น

-ได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 ของอัตราปกติ มีกำหนดเวลา 5 ปี หลังจากครบกำหนด 8 ปีที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิ

 อันจะเป็นปัจจัยหนุนให้บริษัทมีกำไรสวยงามปรากฎในงบการเงินในช่วงเวลาดังกล่าว

SPCG สร้างโรงไฟฟ้าแบบ PHOTOVOLTAICS มีการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ที่แปลงพลังงานแสงเป็นพลังงานไฟฟ้าโดยตรง
อุปกรณ์หลักที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าแบบ PHOTOVOLTAICS คือ แผงพลังงานแสงอาทิตย์ และเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter)

คู่ค้าที่สำคัญของ SPCG ก็คือ บริษัท Kyocera ของญี่ปุ่นที่ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ขายให้ SPCG ซึ่งเป็นเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกในการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์ 
และอีกบริษัทคือ SMA   ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าจากประเทศเยอรมนี
นักลงทุนโปรดตั้งข้อสังเกตด้านค่าเงินบาทกับค่าเงินเยนและค่าเงินยูโร อันจะส่งผลต่อต้นทุนหลักๆในการผลิตโซลาร์ฟาร์มของ SPCG  ถ้าค่าเงินบาทอ่อน จะเกิดอะไรขึ้น ค่าเงินบาทแข็งจะเกิดอะไรขึ้น
ส่งผลต่อกำไรอย่างไร

SPCG อยู่ใน MEGATREND ??

ธุรกิจของ SPCG อยู่ในธุรกิจเมก้าเทรนด์หรือไม่ อย่างไร
เราสังเกตได้จากปริมาณการใช้ไฟฟ้าในประเทศเรา เพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่เราต้องการผลิตพลังงานทดแทนให้ได้เอง ในประเทศและต้องเป็นพลังงานสะอาดด้วย
จึงเป็นที่มาที่รัฐบาลให้การส่งเสริมสนับสนุน ธุรกิจประเภทนี้เป็นอย่างดี






















จากข้อมูลที่ได้มาต้นทุนการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบันใช้เงินทุนประมาณ 110 - 125 ล้านบาทต่อ 1 เมกะวัตต์ 
ดังนั้น โรงไฟฟ้าย่อยโรงหนึ่งๆ ของ SPCG จะมีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 660 - 750 ล้านบาท

และจะมีรายรับจากการขายไฟฟ้าประมาณ 105-120 ล้านบาท ต่อโรงไฟฟ้าต่อปี
หากจะคืนทุนก็ประมาณ  7-8 ปี  (หลังปีที่ 8 หากใช้หนี้หมดกำไรล้วนๆ)

ตัวเลขรายรับนี้ผมประมาณการเอาจาก ผลการดำเนินงานโดยรวมของ SPCG ใน  6 เดือนแรกของปี2556 นี้ มีรายได้ประมาณ 1,157 ล้านบาท อันได้มาจากโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์จำนวน 22 โรงไฟฟ้า
ผมประมาณแบบขั้นต่ำ ซึ่งบางโรงไฟฟ้าก็เพิ่งก่อสร้างเสร็จอาจยังไม่มีการรับรู้รายได้ ทางบัญชีด้วยซ้ำไป

วิเคราะห์ตามหลักการ
1. เจ้าของ/ผู้บริหาร





SPCG มีเจ้าของและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เกือบๆ 50 %
และยังบริหารงานบริษัทเองเป็น CEO เองอีกด้วย----- ผ่านครับ
กิจการนี้เป็นทรัพย์สินสำคัญของบริษัท ? ---- "ใช่"  ผ่านครับ แต่ผ่านครึ่งเดียว

ทำไม ??

ธุรกิจด้าน EPC ที่ทำกำไรไม่น้อย  ให้กับเจ้า้ของบริษัท กลับไม่ยอมเอาผลกำไรทางด้านนี้เข้าไปรวมกับ SPCG บริษัทแม่

EPC มาจาก  Engineering Procurement  and Construction  อะไรประมาณนั้น เป็นบริษัทย่อยที่ค่อนข้างทำเงิน
รับเหมาออกแบบก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้กับตัวเอง ยังมีจัดซื้อจัดจ้างอีก ใช่ครับผลประโยชน์ที่ทำกำไรทันที รับเหมาก่อสร้างให้ตัวเอง จ้างบริษัทลูกตัวเองทำโซลาร์ฟาร์มให้  เทียบกับขายไฟฟ้า จะได้กำไรภายหลัง ก็คือได้ทีหลังคืนทุนนาน ประมาณนั้น

เสียดายที่ไม่ยอมเอาของดี มาแบ่งปันกันรวย  เอาแต่ของที่ต้องลงทุนเยอะหนี้สูงมาแบ่งกันเป็นเจ้าของ

ตารางแสดงให้เห็นถึงรายได้เติบโตก้าวกระโดดของธุรกิจ EPC บริษัทลูก

2. บริษัท

กำลังอยู่ในช่วงของ Circle ของการเติบโต แน่นอนอันนี้ฟังธง ครับ















ในปี 2552 บริษัทมีสินทรัพย์เพียง 192 ล้านบาท ส่วนผู้ถือหุ้น 86 ล้านบาท
ผ่านไป 4 ปี โตกระโดด
ปัจจุบัน มีสินทรัพย์ 18,325 ล้านบาท ส่วนผู้ถือหุ้น 2,068 ล้านบาท

อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity ratio : D/E)  = 7.47

SPCG กู้เงินมามากจนน่ากลัว  น่าจะมีสาเหตุมาจากต้องใช้เงินมากเพื่อมาดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้ครบทั้ง 36 โครงการนั่นเอง

ธุรกิจแนวๆโรงไฟฟ้านี้ แรกเริ่มมักจะติดลบกระท่อนกระแท่น แต่ถ้าตั้งหลักได้ไม่ล้มตายหายไปจากธุรกิจก็จะยืนหยัดมีกำไรไปอีกแสนนาน(แม้จะต้องจ่ายดอกเบี้ยมาก)
 ดูจากช่วงแรกๆบริษัท มี อัตรากำไรสุทธิเพียง 1-3%
ปัจจุบัน ไตรมาส 2/56  อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 17.6 %

และมีปัจจัยส่งเสริมหนุนการเติบโต ด้านการทำหลังคาให้เป็นแผงโซลาร์ของรัฐบาลไทยเข้ามาเพิ่ม

"พัฒนาโอกาสทางธุรกิจด้านการส่งเสริมให้ประชาชนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา บ้าน อาคาร เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ  ส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าและลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงที่มีการใช้สูงสุด (Peak) เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนพลังงานและลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า


และ รัฐบาล เตรียมออกมาตรการภาษีและสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ติดตั้งตามนโยบาย ซึ่งนอกจากช่วยประเทศชาติลดการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศแล้ว ยังเป็นการใช้พลังานสะอาดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศชาติ "



3.อนาคต คาดการณ์ว่าเมื่อสร้างโรงไฟฟ้าครบทั้งหมด 36 สัญญาจ้างแล้ว
SPCG จะมีรายได้จาก
             โรงไฟฟ้าต่อปีทั้งสิ้นในช่วง 3800-4,200 ล้านบาท
             สมมติอัตรากำไรสุทธิที่ 15% จะมีกำไรปีละ 570 - 630 ล้านบาท
             รายได้ธุรกิจเหล็กรีดหลังคา ต่อปี 300 ล้านบาท
             สมมติอัตรากำไรสุทธิที่ 3% จะมีกำไรปีละ  9 ล้านบาท
             รายได้จากธุรกิจ Solar Roof ...ยังไม่ทราบได้......
           
              คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.92 - 1.016  บาทต่อหุ้นต่อปี
              PE ในอนาคตจะอยู่ที่ประมาณ 22

ที่จะมากับการเติบโตที่หยุดชะงัก


 หากไม่สามารถหางานโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเข้ามาเพิ่มเติม
จาก 36 สัญญาโครงการ ที่มีอยู่เดิม

SPCG ก็จะเปลี่ยนสถานะจาก หุ้นเติบโตเร็ว (Growth) เป็นหุ้น ปันผล (Dividend) แทน

ส่วนราคาถูกหรือแพง  อาจารย์อา บอกไว้ว่า อย่าดูที่ราคาซื้อขาย ให้ดูที่ Marketcap
เรามาดูกันครับ




































ตอนนี้ SPCG ซื้อขายกันที่ ราคา 22.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าตลาด 13,824 ล้านบาท
กับบริษัทที่ในปี 2558 จะมีรายรับต่อปีที่  4,500 ล้านบาท  มีผลกำไรต่อปีอยู่ที่ประมาณ 600 ล้านบาท
ถูกหรือแพง ต้องไปคิดกันเอาเอง ตอบแทนกันไม่ได้นะครับ เพราะทัศนคติแต่ละคนต่างก็มีมุมมองไม่เหมือนกัน


ประเด็นข่าวร้อนอื่นๆว่าจะมีการจัดตั้งกองทุนโรงไฟฟ้า
และ การขยายงานโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ไปยังต่างประเทศ เช่น อินโดนิเซีย
อันจะส่งผลบวกต่อราคาหุ้นนั้น ยังไม่ชัดเจนมาก

ก็ต้องติดตามกันต่อไป

พบกับ Find Stock By Natural Style ได้ใหม่ ในวันและเวลาดีๆต่อไป

สำหรับวันนี้ สวัสดีคร้าบบบบบ












วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วิวัฒนาการสู่โลกอารยธรรม Mega Trend ตอนที่ 1: พบกับวงซิมโฟนี่ออเคสตร้า(SYMC) ดนตรีเพลงบรรเลงบนโลก IT





อาจารย์ที่ผมเคารพรักท่านหนึ่ง (แม้นว่า ท่านไม่ได้สอนผมโดยตรง แต่ผมก็นับถือท่านประดุจอาจารย์อา)
ได้ให้มุมมองในเรื่องหนึ่ง จากหลายๆเรื่องของเมกะเทรนด์ไว้ว่า
"ในอนาคต ผู้คนจะขาดคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ไม่ได้"

นั่น คือ สิ่งจำเป็นของมนุษย์ เทียบได้กับปัจจัย 4  ซึ่งในทุกวันนี้วิชาเรียนตอนชั้นประถม
ของผมคงต้องเปลี่ยนแปรไป เมื่อปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตอาจจะปาเข้าไปถึง 7-8 ปัจจัยแล้ว
บางคนก็เพิ่ม รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์และก็อินเตอร์เน็ตเข้าไปเป็นปัจจัยเสริม

และแล้ว ก็เป็นสิ่งธรรมดาในโลกของธุรกิจ การค้า ก็จะหาทางทำมาหากิน ดูดทรัพย์กับสิ่งเหล่านี้     เพราะเมื่อมี Demand ก็ต้องมี Supply ที่ใดมี Supply ที่นั่น ก็ต้องมี เงินตรา

ในเมื่อคอมพิวเตอร์นั้นราคาขาย นับวันมีแต่ถูกลงๆ ไม่น่าสนใจอีกต่อไป
เราก็มาดูในกลุ่มผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตกันดีกว่า





































เปิดค้นคว้าหาในอินเตอร์เน็ตไป-มา จนมาเจอสิ่งนี้เข้า  กลุ่มหุ้นในธุรกิจ ICT
โจทย์จากอาจารย์ที่เคารพของผม
 -  ให้เลือกหุ้นจากกลุ่ม เล็กและกลาง (SmallCap , MediumCap)  ต่ำกว่า 5000 ล้านบาท
 -  เป็นกิจการที่ดี อยู่ในกลุ่ม Mega Trend
 -  เจ้าของกิจการเป็น CEO เอง บริหารงานเอง
 -  PE ไม่เกิน 8 ก็จะดี (ไม่มีเลยกลุ่มนี้ ของดีมักจะแพง ) บางคนบอกทำไมไม่เอา SYNEX กับ MSC

 คำตอบ SYNEX ขายอุปกรณ์คอมฯ ไม่ใช่ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ขายของแบบนี้มันเหนื่อยมาก กว่าจะได้ขาย และคู่แข่งเยอะมากๆ  MSC  ก็ขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เหมือนกัน แต่มีซอฟแวร์ด้วย แค่ฟังก็เหนื่อยแล้ว การละเมิดลิขสิทธิ์ในบ้านเรามันแพร่หลายเกินไป

 - ROE ราวๆ 20%   อ่าาา ROE ได้ 18 น่ะ หยวนๆไปนะ
 - เลือกมาสักตัวก่อน  SYMC
             
  SYMC ทำอะไรหนอ เราไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย หรือขายซิมการ์ดมือถือนะ? ลองเข้าไปดู
ข้อมูลใน www.settrade.com ดีกว่า เปิดมาก็เจอรูปนี้.......

















อืมมมม ทำเสียงดังในลำคอยาวๆ  หล่อนะเนี้ยะ ...  นี่ใช่ เคน ภูภูมิ รึเปล่า ....
หนี้สินน้อย 350 ล้านเอง ส่วนของเจ้าของเยอะมาก 1250 ล้านบาท ที่สำคัญกำไรทุกปี แบบนี้น่าคบ
เป็นหุ้นส่วนธุรกิจด้วย

สัดส่วนของอัตรากำไรสุทธิก็เท่ห์ไม่หยอก 23 %  ขายของ 100 บาท กำไรสุทธิ 23 บาท ไม่เลวๆ
แต่เอ๊ะ .. ทำไมลดลงๆ ทุกปีๆ ละนั่น  ลดลงจาก 34 % มาเรื่อยๆทุกปีๆ จนเหลือ 23 % ในปีนี้ได้
แม้อัตรากำไรจะลดลง แต่ตัวมูลค่าเงิน มันเพิ่มขึ้น ก็หยวนได้นะ

มาวิเคราะห์แบบสไตล์ธรรมชาติๆกันดีกว่า
ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น  แจ้งเกิดจากการได้สัมปทานกิจการโทรคมนาคม 15 ปี
นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ก็จะไปหมดเอา ราวๆปี พ.ศ.2564  ก็เหลือเวลา อีกราวๆ 8  ปี นับจากวันนี้

ปี 2550 วางเคเบิ้ลใยแก้วบนเส้นทางรถไฟ BTS
ปี 2551 ได้สิทธิ์วางเคเบิ้ลใยแก้วบนเสาไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง
ปี 2553 เซ็นสัญญาให้บริการเคเบิ้ลใยแก้วกับการไฟฟ้านครหลวง 12 ปี (หมดในปี2565)
 เอ้ะ งง ...สัมปทานหมดปี 2564 แต่ทำไมให้บริการ กฟน.ได้ถึงปี 2565 น้อ แกล้งไม่รู้ดีกว่า หุหุ
ปี 2554 ได้รับใบอนุญาตให้บริการวงจรเช่าส่วนบุคคลระหว่างประเทศ  มีอายุ  15 ปี
ปี 2555 ได้ขยายพื้นที่ให้บริการในเขตเศรษฐกิจหลักในภูมิภาค เช่น เขตนิคมอุตสาหกรรมกว่า 24  แห่ง และจังหวัดหัวเมืองใหญ่ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ อุดรธานี และขอนแก่น เป็นต้น

ปี 2555 ถือว่าเป็นปีแห่งจุดเปลี่ยนเลย ที่ได้ขยายฐานลูกค้าระดับองค์กรไปแบบก้าวกระโดดนี้เอง




















สรุป SYMC ทำอะไร? แบบง่ายๆ
SYMC ทำสัมปทานวางเส้นเคเบิ้ลใยแก้ว และเก็บค่าบริการ ภายในระยะเวลา 15ปี

แล้วเคเบิ้ลใยแก้ว คืออะไร ?
เคเบิ้ลใยแก้ว คือ คล้ายๆแนวสายโทรศัพท์แต่เป็นแนวสายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงมากๆที่ส่งต่อข้อมูล
มากๆเยอะๆแบบองค์กรใหญ่ๆเค้าใช้กัน  บ้านเรือนหลังเล็กๆคงไม่จำเป็นต้องเอาอินเตอร์เน็ตเร็วแรงขนาดนั้นมาใช้

ลูกค้า ของ SYMC ก็มีหลักๆ 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก ให้บริการชั่วโมงเน็ต คือเช่าเน็ตของ SYMC แล้วไปกระจายขายต่ออีกที
เช่น  CS Loxinfo , INET , DTAC , CTH , RS , GRAMMY อะไรแบบนี้

กลุ่มที่สอง ก็เป็นองค์กรยักษ์ใหญ่ ที่ต้องใช้เน็ตแรงๆเชื่อมกัน ยกตัวอย่างมาแบบเห็นภาพๆสักอัน
ก็ เช่น พวกกลุ่มธนาคาร  กลุ่มค้าปลีก  อะไรแบบนั้น

ลูกค้าทราบแล้ว
แล้ว รายได้อ่ะ มายังไง ?
SYMC มีรายได้หลักจากการให้บริการให้เช่าวงจรสื่อสารความเร็วสูง และมีรายได้อื่นๆ เช่น รายได้จากการบริหารจัดการและบำรุงรักษาโครงข่าย












จากรูปข้างบน เราจะพบว่า รายได้หลักๆที่มาหล่อเลี้ยงกิจการมาจากการบริการด้านให้เช่าวงจร
และเป็นการให้เช่าวงจรแบบ  Metro Ethernet

ส่วนรายได้ที่เติบโต คือ  Metro Ethernet และ SDH&EOSDH











และ เมื่อเราแบ่งประเภทรายได้ ตามการใช้งาน ในปี 2555
จะพบว่า... รายได้จาก Internet Access มีมากที่สุด 47% เป็นเงิน 364 ล้านบาท
รองลงมาคือรายได้จาก Private Network  22% คิดเป็นเงิน 173 ล้านบาท

 แต่การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนั้น พระเอกอยู่ที่่ Digital Broadcast เติบโตเกือบเท่าตัวจาก
30 ล้านบาทไป 68 ล้านบาท ในเวลาเพียง 1 ปี เท่านั้น คิดเป็นการเติบโต  126% เลยทีเดียว

 ในอนาคตวงการการสื่อสาร SYMC วางตัวเองเป็น ทางด่วนของข้อมูลนะครับ
 คือการเดินทางไปจุดหมายหลักๆของข้อมูล ทางเคเบิ้ลใยแก้ว ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของข้อมูล IT
ถ้าต้องการความรวดเร็วก็จ่ายค่าเช่าแล้วเดินทางได้เลย

ข้อเสียก็คือ การเดินสายเคเบิ้ลใยแก้วนี้แม้เป็นสัมปทานหน่วยงานรัฐ
แต่ก็ไม่ได้ห้ามหน่วยงานอื่นๆ ที่ประกอบธุรกิจทางด้านนี้ เข้ามาดำเนินการนะครับ
เรียกได้ว่า เป็นสัมปทานที่ไม่ได้ผูกขาดเท่าไหร่นัก

อย่างไรก็ดี โอกาสเติบโตในอนาคตของผู้บริหารมองว่า
วงจรเช่าส่วนบุคคลระหว่างประเทศ (International Private Leased Circuit : IPLC)
อีกสักพัก1-2 ปี จะมีสัดส่วนรายได้ มากกว่า 50% ทีเดียว
คือการเอาข้อมูลอินเตอร์เน็ตจากต่างประเทศมาให้บริการในเมืองไทย
นี่เป็นดีลที่ดี ซึ่งหากมองอนาคต AEC การใช้ข้อมูลจากต่างประเทศย่อมต้องมีมากขึ้น

(ต่างประเทศนี้คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ ลาว และกัมพูชา และจะมีพม่า นะครับ ไม่ใช่พวกอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ทำนองนั้น โปรดรับทราบ ^_^ )



IPLC คืออะไร  IPLC เป็นบริการวงจรเช่าสำหรับลูกค้าองค์กรทั่วไป อาทิ ธนาคาร โรงงานอุตสาหกรรม บริษัทข้ามชาติ ที่มีความต้องการต่อเชื่อมระบบข้อมูลจากสำนักงานในประเทศไทย ไปยังสำนักงานที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ

และในทางกลับกันใช้สำหรับองค์กรทั่วไปในต่างประเทศที่ต้องการต่อเชื่อมมายังสำนักงานในประเทศไทย

เป็นบริการวงจรเช่าสำหรับบริษัทผู้ให้บริการโทรคมนาคมอื่นใช้เป็นโครงข่ายหลัก (Backbone) ต่อเชื่อมไปยังสถานีของผู้ให้บริการวงจรสื่อสารระหว่างประเทศในประเทศต่างๆ



จากรูปข้างบนนะครับ เดิมที Symc เช่าพื้นที่บางส่วนจากการไฟฟ้านะครับ พอธุรกิจโต ลูกค้าโต
Symc ก็เช่ามากขึ้นๆ ทำให้สัดส่วนรายได้เกิดการคงที่ครับ พอถึงจุดๆหนึ่งที่การลงทุนเอง
จะเริ่มคุ้มกว่าเช่า Symc ก็เริ่มเดินหมากเกมส์นี้กันไปแล้ว

ในภาพจะแสดงให้เห็นว่า งบลงทุน  6-7 ร้อยล้านบาทของ SYMC นั้น ทำอะไร ?
จะเปลี่ยนแนวเชื่อมโยงข้อมูล จากสีส้มที่เช่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิต
ให้เป็นแนวสีเขียว  สีเขียวคือของบริษัทเป็นเจ้าของเอง แต่เดิมกระจุกอยู่แค่เมืองหลวง



ผมให้ผู้บริหารของ Symc มีกึ๋นในระดับที่ดี ไม่เดินหมากมั่วซั่ว แต่เดินแบบมีชั้นเชิงและกลยุทธ์
การสร้างบริษัทนี้เองมากับมือ ตั้งแต่ปี 2547 คงไม่ใช่เรื่องฟลุ้ค จะไม่เชื่อฝีมือคงไม่ได้
เกียรตินิยมอันดับ2 วิศวะไฟฟ้า ม.เกษตร คงยืนยันได้เป็นอย่างดี
ผนวกกับประสบการณ์กว่า 25 ปี คงพอที่จะเป็นกัปตันเรือที่ดี ไม่ธรรมดา
ส่วนในเรื่องคุณธรรม จริยธรรมนั้นก็ผ่าน เป็นคนรักครอบครัวและสร้างองค์กรให้เป็นองค์กรแห่ง
ความสุข แถมยังเน้นเรื่องการสร้างทีม



ข้อสังเกตอื่นๆ

1. การเติบโตของกลุ่มลูกค้าองค์กร จะช้ากว่า กลุ่มประชาชน ทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
    หากใครใจร้อน อยากรวยเร็วไม่แนะนำ แต่ใครชอบรวยช้าๆรวยนานๆก็ลองดูได้ครับ

2. รายได้จากการขายมาเป็นเงินก้อนใหญ่ จากลูกค้าองค์กร ค่าใช้จ่ายในการดูแลลูกค้าจะไม่มาก
   เท่ากับ ลูกค้ารายย่อยจ่ายเดือนละ 500 บาทแต่มีล้านคน สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการดูแลลูกค้า
   จะต่างกันเยอะ

3. มูลค่าบริษัทที่ 5000 ล้านบาท ถือว่าถูกมากๆ กับสิ่งที่จะทำในอนาคตและรายได้กับกำไร
   ที่รับอยู่ปัจจุบัน  ปีหนึ่งๆก็ เกือบ 1 พันล้านบาทแล้ว

4. กำลังพัฒนา ซอฟท์แวร์ด้านการถ่ายทอดภาพและเสียง(ทีวี) ผ่านทางอุปกรณ์ แท็บเล็ต มือถือ
    ไอโฟน (IPTV : Internet Protocal Television) ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะสำเร็จหรือไม่ มีรายได้อย่างไร
    จากใคร เดาว่า CTH ,RS แต่ถ้าหากสำเร็จ ขึ้นมาก็น่ากลัวจะวิ่งไปไกล

5. บริษัทลงทุนเยอะกว่าปีที่ผ่านๆมาอย่างน่ากลัว แสดงให้เห็นถึงโอกาสอะไรบางอย่างที่คุ้มค่าจึงลงทุนเพิ่ม จากเดิมไม่ค่อยลงทุนอะไรมาก


6. บริษัทเลือกที่่จะเป็นพันธมิตรกับคู่แข่งทุกคน เพื่อมีความสัมพันธ์อันดี ไม่แก่งแย่งลูกค้ากันเอง
    อันจะมีผลต่อสงครามราคา(Price WAR) ในอนาคต ตามหลักการรบ ไม่ฆ่ากันเองดั่งบางธุรกิจ
    ที่สุดท้ายก็เจ็บกันหมด

















บริษัทเติบโตแบบพอเพียง จึงมีอัตราหนี้สินต่อทุนที่ต่ำมาก จึงไม่น่าหวั่นไหวกับลมพายุ
ฟ้าฝนในตลาดหลักทรัพย์เท่าใดนัก ด้วยจำนวนหุ้นเพียง 300 ล้านหุ้นเท่านั้น
ROA และ ROE อยู่ในระดับที่น่าประทับใจ  15 % ++

กำไรสุทธิยิ่งน่าประทับใจกว่า ที่ 28.6 % แม้อนาคตจะลดลงแต่กำไรจะเพิ่มขึ้นตามขนาดมูลค่าตลาด
เช่น อัตรากำไรสุทธิเหลือ 25% ของรายได้ 1000 ล้าน ก็จะกำไร 250 ล้านบาท สูงกว่า 234 ล้านบาท
( 28.6% ของเงิน 819.57 ล้านบาท)

สรุป

ในช่วงปีถึงสองปีนี้ Symc อาจจะไม่โดดเด่นนักในเรื่องของกำไร
เพราะว่าบริษัทมีการขยายตัวในการลงทุน (จากเดิมที่เช่าบ้านเค้าเป็นสร้างบ้านอยู่เอง)
แต่เมื่อมองสิ่งที่ลงทุน ถือว่าอนาคตจะสร้างรายได้ให้อีกมากมาย นับว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว
(เปรียบเหมือนมีบ้านเป็นของตัวเองยังแบ่งห้องพักเก็บค่าเช่าและค้าขายหารายได้อีก)

แต่อีก 2-3 ปี เมื่อการลงทุนเสร็จเม็ดเงินก็คาดว่าจะไหลมาอย่างสบายใจ

หากใครไม่รีบ มองหาบริษัทที่ดี ที่น่าฝากฝังเงินลงทุนด้วย ในธุรกิจที่มีโอกาสแห่งการเติบโตสูง
ในกลุ่ม ICT ละก็ คงจะมองข้ามหุ้นตัวนี้ไปไม่ได้

ในช่วงหนึ่งปีถึงสองสามปีนี้ Symc กำไรอาจจะยังไม่เติบโตโดดเด่นมาก
อาจจะเห็นการเติบโตเพียง 5-10%เท่านั้น
และก็มีหลายบริษัทที่ดำเนินธุรกิจคล้ายๆกันอยู่ อย่าง JASTEL ที่เป็นบริษัทลูกของ JAS
ถึงแม้จะมีคู่แข่งแต่อุสาหกรรมกลุ่ม  ICT ยังมีตลาดที่จะเติบโตไปได้อีกมาก