SPCG จัดอยุ่ในหุ้นกลุ่มพลังงาน
รายได้หลักๆก็มาจาก พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ โดยใช้แผงรับแสง ทำกันเหมือนฟาร์มผัก
ปลูกเรียงรายกันไป เราเลยนิยมเรียกกันว่า โซลาร์ฟาร์ม
นอกเหนือจากนั้น SPCG ก็ยังมีธุรกิจขายและติดตั้งเหล็กแผ่นเมทัลชีท (ที่ใช้ทำหลังคา) รวมอยู่ด้วย
SPCG มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ที่ทำสัญญาเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว 36 ฉบับ ด้วยกัน
ซึ่งสัญญาทั้ง 36 ฉบับนี้ จะต้องทำการก่อสร้าง โซลาร์ฟาร์ม แบบในรูปภาพข้างบนอีก 36 โครงการ
โครงการละ 6 เมกกะวัตต์ รวมกำลังการผลิตทั้งหมด 36 โครงการขนาดกำลังการผลิต 240 เมกะวัตต์และต้องขายไฟฟ้า ที่ผลิตได้ดังกล่าว ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเท่านั้น
ซึ่ง การไฟฟ้าจะรับซื้อไฟฟ้าในราคาหน่วยละ 8 บาท เป็นระยะเวลา 10 ปี
ข้อมูลใหม่
**ปัจจุบันได้มีการปรับลดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าไปแล้วจาก 8.0 บาทต่อหน่วย เป็น 6.50 บาทต่อหน่วย ตั้งแต่เดือน มิถุนายน 2553 **
ตอนนี้SPCG ทำการก่อสร้างแล้วเสร็จไปแล้ว 22 โครงการ โซลาร์ฟาร์ม คงเหลืออีก 14 โครงการด้วยกันก็จะครบดีล
SPCG ได้สิทธิพิเศษจากการส่งเสริมการลงทุนของ BOI
เด่นๆดังนี้
-ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์
-ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการ มีกำหนด 8 ปี นับจากวันที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการนั้น
-ได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 ของอัตราปกติ มีกำหนดเวลา 5 ปี หลังจากครบกำหนด 8 ปีที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิ
อันจะเป็นปัจจัยหนุนให้บริษัทมีกำไรสวยงามปรากฎในงบการเงินในช่วงเวลาดังกล่าว
SPCG สร้างโรงไฟฟ้าแบบ PHOTOVOLTAICS มีการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ที่แปลงพลังงานแสงเป็นพลังงานไฟฟ้าโดยตรง
อุปกรณ์หลักที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าแบบ PHOTOVOLTAICS คือ แผงพลังงานแสงอาทิตย์ และเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter)
คู่ค้าที่สำคัญของ SPCG ก็คือ บริษัท Kyocera ของญี่ปุ่นที่ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ขายให้ SPCG ซึ่งเป็นเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกในการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์
และอีกบริษัทคือ SMA ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าจากประเทศเยอรมนี
นักลงทุนโปรดตั้งข้อสังเกตด้านค่าเงินบาทกับค่าเงินเยนและค่าเงินยูโร อันจะส่งผลต่อต้นทุนหลักๆในการผลิตโซลาร์ฟาร์มของ SPCG ถ้าค่าเงินบาทอ่อน จะเกิดอะไรขึ้น ค่าเงินบาทแข็งจะเกิดอะไรขึ้น
ส่งผลต่อกำไรอย่างไร
SPCG อยู่ใน MEGATREND ??
ธุรกิจของ SPCG อยู่ในธุรกิจเมก้าเทรนด์หรือไม่ อย่างไร
เราสังเกตได้จากปริมาณการใช้ไฟฟ้าในประเทศเรา เพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่เราต้องการผลิตพลังงานทดแทนให้ได้เอง ในประเทศและต้องเป็นพลังงานสะอาดด้วย
จึงเป็นที่มาที่รัฐบาลให้การส่งเสริมสนับสนุน ธุรกิจประเภทนี้เป็นอย่างดี
จากข้อมูลที่ได้มาต้นทุนการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบันใช้เงินทุนประมาณ 110 - 125 ล้านบาทต่อ 1 เมกะวัตต์
ดังนั้น โรงไฟฟ้าย่อยโรงหนึ่งๆ ของ SPCG จะมีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 660 - 750 ล้านบาท
และจะมีรายรับจากการขายไฟฟ้าประมาณ 105-120 ล้านบาท ต่อโรงไฟฟ้าต่อปี
หากจะคืนทุนก็ประมาณ 7-8 ปี (หลังปีที่ 8 หากใช้หนี้หมดกำไรล้วนๆ)
หากจะคืนทุนก็ประมาณ 7-8 ปี (หลังปีที่ 8 หากใช้หนี้หมดกำไรล้วนๆ)
ตัวเลขรายรับนี้ผมประมาณการเอาจาก ผลการดำเนินงานโดยรวมของ SPCG ใน 6 เดือนแรกของปี2556 นี้ มีรายได้ประมาณ 1,157 ล้านบาท อันได้มาจากโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์จำนวน 22 โรงไฟฟ้า
ผมประมาณแบบขั้นต่ำ ซึ่งบางโรงไฟฟ้าก็เพิ่งก่อสร้างเสร็จอาจยังไม่มีการรับรู้รายได้ ทางบัญชีด้วยซ้ำไป
SPCG มีเจ้าของและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เกือบๆ 50 %
และยังบริหารงานบริษัทเองเป็น CEO เองอีกด้วย----- ผ่านครับ
กิจการนี้เป็นทรัพย์สินสำคัญของบริษัท ? ---- "ใช่" ผ่านครับ แต่ผ่านครึ่งเดียว
ทำไม ??
ธุรกิจด้าน EPC ที่ทำกำไรไม่น้อย ให้กับเจ้า้ของบริษัท กลับไม่ยอมเอาผลกำไรทางด้านนี้เข้าไปรวมกับ SPCG บริษัทแม่
EPC มาจาก Engineering Procurement and Construction อะไรประมาณนั้น เป็นบริษัทย่อยที่ค่อนข้างทำเงิน
รับเหมาออกแบบก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้กับตัวเอง ยังมีจัดซื้อจัดจ้างอีก ใช่ครับผลประโยชน์ที่ทำกำไรทันที รับเหมาก่อสร้างให้ตัวเอง จ้างบริษัทลูกตัวเองทำโซลาร์ฟาร์มให้ เทียบกับขายไฟฟ้า จะได้กำไรภายหลัง ก็คือได้ทีหลังคืนทุนนาน ประมาณนั้น
เสียดายที่ไม่ยอมเอาของดี มาแบ่งปันกันรวย เอาแต่ของที่ต้องลงทุนเยอะหนี้สูงมาแบ่งกันเป็นเจ้าของ
ตารางแสดงให้เห็นถึงรายได้เติบโตก้าวกระโดดของธุรกิจ EPC บริษัทลูก
2. บริษัท
ในปี 2552 บริษัทมีสินทรัพย์เพียง 192 ล้านบาท ส่วนผู้ถือหุ้น 86 ล้านบาท
ผ่านไป 4 ปี โตกระโดด
ปัจจุบัน มีสินทรัพย์ 18,325 ล้านบาท ส่วนผู้ถือหุ้น 2,068 ล้านบาท
อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity ratio : D/E) = 7.47
SPCG กู้เงินมามากจนน่ากลัว น่าจะมีสาเหตุมาจากต้องใช้เงินมากเพื่อมาดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้ครบทั้ง 36 โครงการนั่นเอง
ผ่านไป 4 ปี โตกระโดด
ปัจจุบัน มีสินทรัพย์ 18,325 ล้านบาท ส่วนผู้ถือหุ้น 2,068 ล้านบาท
อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity ratio : D/E) = 7.47
SPCG กู้เงินมามากจนน่ากลัว น่าจะมีสาเหตุมาจากต้องใช้เงินมากเพื่อมาดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้ครบทั้ง 36 โครงการนั่นเอง
ธุรกิจแนวๆโรงไฟฟ้านี้ แรกเริ่มมักจะติดลบกระท่อนกระแท่น แต่ถ้าตั้งหลักได้ไม่ล้มตายหายไปจากธุรกิจก็จะยืนหยัดมีกำไรไปอีกแสนนาน(แม้จะต้องจ่ายดอกเบี้ยมาก)
ดูจากช่วงแรกๆบริษัท มี อัตรากำไรสุทธิเพียง 1-3%
ปัจจุบัน ไตรมาส 2/56 อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 17.6 %
และมีปัจจัยส่งเสริมหนุนการเติบโต ด้านการทำหลังคาให้เป็นแผงโซลาร์ของรัฐบาลไทยเข้ามาเพิ่ม
"พัฒนาโอกาสทางธุรกิจด้านการส่งเสริมให้ประชาชนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา บ้าน อาคาร เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าและลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงที่มีการใช้สูงสุด (Peak) เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนพลังงานและลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า
และ รัฐบาล เตรียมออกมาตรการภาษีและสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ติดตั้งตามนโยบาย ซึ่งนอกจากช่วยประเทศชาติลดการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศแล้ว ยังเป็นการใช้พลังานสะอาดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศชาติ "
3.อนาคต คาดการณ์ว่าเมื่อสร้างโรงไฟฟ้าครบทั้งหมด 36 สัญญาจ้างแล้ว
SPCG จะมีรายได้จาก
โรงไฟฟ้าต่อปีทั้งสิ้นในช่วง 3800-4,200 ล้านบาท
สมมติอัตรากำไรสุทธิที่ 15% จะมีกำไรปีละ 570 - 630 ล้านบาท
รายได้ธุรกิจเหล็กรีดหลังคา ต่อปี 300 ล้านบาท
สมมติอัตรากำไรสุทธิที่ 3% จะมีกำไรปีละ 9 ล้านบาท
รายได้จากธุรกิจ Solar Roof ...ยังไม่ทราบได้......
คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.92 - 1.016 บาทต่อหุ้นต่อปี
PE ในอนาคตจะอยู่ที่ประมาณ 22
ที่จะมากับการเติบโตที่หยุดชะงัก
หากไม่สามารถหางานโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเข้ามาเพิ่มเติม
จาก 36 สัญญาโครงการ ที่มีอยู่เดิม
SPCG ก็จะเปลี่ยนสถานะจาก หุ้นเติบโตเร็ว (Growth) เป็นหุ้น ปันผล (Dividend) แทน
ส่วนราคาถูกหรือแพง อาจารย์อา บอกไว้ว่า อย่าดูที่ราคาซื้อขาย ให้ดูที่ Marketcap
เรามาดูกันครับ
ตอนนี้ SPCG ซื้อขายกันที่ ราคา 22.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าตลาด 13,824 ล้านบาท
กับบริษัทที่ในปี 2558 จะมีรายรับต่อปีที่ 4,500 ล้านบาท มีผลกำไรต่อปีอยู่ที่ประมาณ 600 ล้านบาท
ถูกหรือแพง ต้องไปคิดกันเอาเอง ตอบแทนกันไม่ได้นะครับ เพราะทัศนคติแต่ละคนต่างก็มีมุมมองไม่เหมือนกัน
ประเด็นข่าวร้อนอื่นๆว่าจะมีการจัดตั้งกองทุนโรงไฟฟ้า
และ การขยายงานโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ไปยังต่างประเทศ เช่น อินโดนิเซีย
อันจะส่งผลบวกต่อราคาหุ้นนั้น ยังไม่ชัดเจนมาก
ก็ต้องติดตามกันต่อไป
พบกับ Find Stock By Natural Style ได้ใหม่ ในวันและเวลาดีๆต่อไป
สำหรับวันนี้ สวัสดีคร้าบบบบบ














ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น