จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการเล่นหุ้นยามตลาดหุ้นตกแบบไม่เกรงใจเศรษฐกิจโลก

















ดูตามรูปประกอบเลยนะครับ  เหตุเกิดจาก
ไม่กี่วันที่ผ่านมา ตลาดหุ้นบ้านเราลงหนักอย่างบ้าคลั่ง SET เกิดคลุ้มคลั่งกระโดดลงหน้าผาที่ 1440 จุด
เหลือเพียง 1293 จุด ตกลงมาราวๆ 150 จุดทีเดียว ซึ่งมีสาเหตุมากมาย มีหลายปัจจัยและมีนักลงทุนหลายท่านได้ให้ความเห็นไว้อย่างล้นเหลือ

เมื่อพินิจดูกราฟ เส้นค่าเฉลี่ย 3 เส้นตัดกันในทิศทางลง เกิด Golden Cross หัวตก บ่งบอกในเชิงสถิติว่า กำลังเป็นช่วงตลาดขาลง อย่างชัดเจนมาก มีการขายกระหน่ำโดยชาวต่างชาติมากกว่า
แสนล้า่นบาทแล้ว

บริษัทที่ดีๆ มีชื่อเสียง ในไทยหลายแห่ง มีผลกำไรที่ดีและยังมีแนวโน้มเติบโตอยู่
เมื่อหุ้นตก นั่นคือจังหวะซื้อหุ้นนั่นเอง  เพราะราคาหุ้นของบริษัทที่ดีเหล่านี้ ในช่วงตลาดขาขึ้น มักจะไม่ได้สะท้อนความจริงในอดีต  เพราะแบกความคาดหวังของนักลงทุนไว้สูง ได้ย่อลงมาอย่างมาก

เศรษฐกิจของโลกของเรา กำลังปั่นป่วน จากสาเหตุอะไรก็ตาม แต่กิจการที่ยังคงอยู่ได้ใน SET นั้น
ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
หมายเหตุ :   ผมไม่ได้บอกว่าราคาหุ้นของกิจการเหล่านี้จะไม่ลงตามตลาดขาลงนะครับ
                    แต่กิจการเหล่านี้แหล่ะที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนของเรา และกิจการเหล่านั้นต้อง
                    มีทั้ง 6 ข้อครบนะครับถ้าไม่ครบก็ต้องให้ได้จำนวนข้อมากที่สุดก็เป็นดี

1. กิจการที่รายได้จากในประเทศเป็นหลัก และเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ
         เมื่อค่าเงินบาทอ่อนแบบนี้ และเศรษฐกิจของโลกยังปั่นป่วน การจะอยู่รอดได้เราต้องพึ่่งพาตนเอง
          กิจการที่เป็นเหมือนของตาย ภาษาเชิงเศรษฐศาสตร์ เรียกว่า Brand Loyalty ที่มีรายได้จากคน
         ไทยเป็นหลักไม่ว่า จะ ฝนตก แดดออก  GDP จะเพิ่มจะลดลง คนจะหนี้สินมาก-น้อย กิจการเหล่านี้ 
          ก็ยังอยู่ได้ และมีรายได้ไหลเข้ามาตลอดเวลา
          ผมขอยกตัวอย่างกิจการพวก ร้านอาหาร น้ำอัดลม  การให้บริการอินเตอร์เน็ต  มือถือ สมาร์ทโฟน 
          ความบันเทิง  ค้าขายค้าปลีก 

2. กิจการที่ไม่กู้เงินต่างประเทศเป็นส่วนมาก
          ช่วงที่ค่าเงินบาทอ่อนแบบนี้ หนี้สินที่เคยกู้มาสมมติ 1,000 ล้านบาทเมื่อตอน US Dollar 29 บาท
          พอค่าเงินเปลี่ยน US Dollar 32.3 บาท จากหนี้สินเดิม 1,000 ล้านบาท จะกลายเป็น  1,113.8 ล้าน
          หนี้สินเดิม เพิ่มสูงขึ้น 11.4% จากการนอนอยู่บ้านเฉยๆ นั่นรวมถึงค่าเงินเย็นญี่ปุ่นด้วย

3. กิจการที่ 8 ปีที่ผ่านมาไม่เคยขาดทุน
          การที่บริษัทดำเนินกิจการมาได้ 8 ปีไม่เคยขาดทุนแสดงว่าเป็นกิจการที่มั่นคงแข็งแกร่งทางการ
          เงินการบริหารจัดการสูงในระดับหนึ่ง อย่างน้อยๆช่วง วิกฤตเศรษฐกิจต่างๆ
          วิกฤตซับไพร์ม หรือน้ำท่วมประเทศไทย ครั้งใหญ่บริษัทนั้นก็ไม่ได้รับผลกระทบมาก แต่อย่างใด
          หรือได้รับผลกระทบ แต่มีวิธีบริหารจัดการที่รับมือได้ไหว
          
4. กิจการที่่มีเงินปันผลจ่ายตลอด 5 ปีที่ผ่านมาและเปอร์เซ็นต์เงินปันผลต้องมากกว่าเงินเฟ้อ
          การที่ตลาดหากยังเป็นขาลงอยู่อย่างยาวนาน ผลตอบแทนที่เราจะได้รับอย่างน้อย ก็ต้องมากกว่า
          ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารและต้องเป็ันมูลค่าเงินปันผลที่ชนะเงินเฟ้อ เมื่อเราคำนวณดีดลูกคิดแล้ว
          เงินเย็นสำหรับการลงทุนของเรา หากนอนนิ่งอยู่ในธนาคาร คงจะดีกว่ามากหากเรานำมาลงทุนใน
          กิจการที่มีเงินปันผล ยิ่งราคาลงมากๆจำนวนเงินปันผลก็จะได้รับสูงขึ้น

 5. กิจการที่กองทุนนิยมถือครอง  เรียกว่า หุ้นพิมพ์นิยม       
          กองทุน คือ ผู้ที่มีกำลังซื้อ และมีการประเมินผลการดำเนินงานอยู่ตลอด ดังนั้นกองทุน คือผู้ที่จะไม่
          ยอมให้หุ้นที่ตัวเองถือนั้น ขาดทุนได้ เพราะจะทำให้ศักยภาพ ความน่าเชื่อถือ ลดลงและลูกค้าจะ
          ไม่เชื่อมั่น หากหุ้นตัวไหนจะวิ่งขึ้นได้ก่อน ก็คงไม่แคล้วจะเป็นตัวหลักๆของกองทุนแต่ละแแห่ง

6. กิจการที่ PE ต่ำได้จะดี (PE แต่ละคนไม่เหมือนกันอาจารย์อา ของผมท่านแนะนำ 8-10)
          ข้อนี้น่าจะยากเพราะ หากกิจการใดมีครบ 5 ข้อข้างบนที่กล่าวมาแล้วนั้น เรามักจะพบว่า PE ไม่ต่ำ
          แต่ถ้าใครหาเจอได้ละก็ ถือว่าแจ๊กพอร์ทละครับ

เอาละ หลังจากเราเลือกกิจการที่เข้าตามหลักเกณฑ์ 5-6 ข้อข้างบนนั้นแล้ว ใช่ว่าจะซื้อหุ้นได้แล้วนะครับ
ลิสต์รายการออกมาเก็บไว้ก่อนและมาศึกษาดูกราฟตัวนี้ของผม เพื่อหากลยุทธ์ในการเข้าทำ นั่นก็คือจังหวะตีนั้นเอง

















จากภาพ

หากเรามองภาพของ SET นั้นในระยะทางอันยาวไกล ตลาดหุ้นบ้านเรานั้นยังถือว่าเป็นขาขึ้นอยู่ยกเว้นเพียงแต่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ 3 เหตุการณ์นี้ ในช่วง 1- 3 ปี ต้องดูไปทีละเหตุการณ์เป็น Step นะครับ

Step 1 : SET หลุดแนว 1270 จุด
ด่านสกัดที่ 1 แตก แปลว่าตลาดลงต่อแน่นอน ช่วงนี้ให้สังเกตแนวโน้มว่าจะมีการส่งสัญญาณกลับตัวหรือยัง ถ้ายังมีสิทธิ์ที่จะลงต่อ วิธีการหาสัญญาณกลับตัว แต่ละท่านก็มีวิธีการหาไม่เหมือนกัน ลองศึกษาดู
จากที่นี่ได้     http://www.stock2morrow.com/showthread.php?p=331719

โปรดจำไว้ (การดูสัญญาณจากกราฟก็เหมือนวิชาสถิติ ไม่ได้แปลว่า 100%)
ถ้ามีสัญญาณกลับตัวให้ซื้อช่วงนี้ แต่ถ้าไม่มีสัญญาณให้ดูต่อไป รอ Step 2

Step 2 : SET หลุดแนว 1100 จุด
เหมือนกันกับ Step 1 หากด่านตั้งรับที่ 2 แตกพ่าย แปลว่าตลาดลงต่อแน่นอน ช่วงนี้ให้สังเกตแนวโน้มว่าจะมีการส่งสัญญาณกลับตัวหรือยัง ถ้ายังมีสิทธิ์ที่จะลงต่อ
ถ้ามีสัญญาณกลับตัวให้ซื้อช่วงนี้ แต่ถ้าไม่มีสัญญาณให้ดูต่อไป รอ Step 3

Step 3 : SET หลุดแนว  950  จุด
ขอแสดงความยินดีด้วย ท่านได้พบกับวิกฤตเศรษฐกิจของชาติ ครั้งใหม่ ท่านมีโอกาสจะได้เป็นเซียนหุ้นคนใหม่ของเมืองไทย การเตรียมตัวช่วงนี้ให้ ทำงานหาเงินมาให้มาก เพื่อนำเงินมาลงทุนในตลาดหุ้น ที่คาดว่าช่วงนั้นคงไม่มีใครเทรดกันแล้ว โอกาสงามๆไม่ได้หากันง่ายๆ และประวัติศาสตร์จะได้จารึกชื่อท่านไว้ ถ้าหากหลุดด่าน 950 จุด ครั้งนี้ไปจะไม่สามารถคาดการณ์ใดๆได้เลย แนวรับต่อไป 750 จุดและ 400 จุด

สุดท้ายทุกๆครั้งของการเทรด โปรดระลึกไว้ จงอย่าโลภและมีสติ









วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วิวัฒนาการสู่โลกอารยธรรม Mega Trend ตอนที่ 2: พบกับตัวแทนกลุ่มพลังงานทดแทน พลังงานชาติ พลังงานแห่งอนาคต SPCG

SPCG ทำอะไร ??


SPCG จัดอยุ่ในหุ้นกลุ่มพลังงาน
รายได้หลักๆก็มาจาก พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ โดยใช้แผงรับแสง ทำกันเหมือนฟาร์มผัก
ปลูกเรียงรายกันไป เราเลยนิยมเรียกกันว่า โซลาร์ฟาร์ม
นอกเหนือจากนั้น SPCG ก็ยังมีธุรกิจขายและติดตั้งเหล็กแผ่นเมทัลชีท (ที่ใช้ทำหลังคา) รวมอยู่ด้วย

SPCG มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ที่ทำสัญญาเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว 36 ฉบับ ด้วยกัน
ซึ่งสัญญาทั้ง 36 ฉบับนี้ จะต้องทำการก่อสร้าง โซลาร์ฟาร์ม แบบในรูปภาพข้างบนอีก 36 โครงการ
โครงการละ 6 เมกกะวัตต์ รวมกำลังการผลิตทั้งหมด 36 โครงการขนาดกำลังการผลิต 240 เมกะวัตต์และต้องขายไฟฟ้า ที่ผลิตได้ดังกล่าว ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเท่านั้น
ซึ่ง การไฟฟ้าจะรับซื้อไฟฟ้าในราคาหน่วยละ 8 บาท เป็นระยะเวลา 10 ปี


ข้อมูลใหม่

**ปัจจุบันได้มีการปรับลดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าไปแล้วจาก 8.0 บาทต่อหน่วย เป็น 6.50 บาทต่อหน่วย ตั้งแต่เดือน มิถุนายน 2553 **


ตอนนี้SPCG ทำการก่อสร้างแล้วเสร็จไปแล้ว 22 โครงการ     โซลาร์ฟาร์ม คงเหลืออีก 14 โครงการด้วยกันก็จะครบดีล

SPCG ได้สิทธิพิเศษจากการส่งเสริมการลงทุนของ BOI
เด่นๆดังนี้

-ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์

-ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการ มีกำหนด 8 ปี นับจากวันที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการนั้น

-ได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 ของอัตราปกติ มีกำหนดเวลา 5 ปี หลังจากครบกำหนด 8 ปีที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิ

 อันจะเป็นปัจจัยหนุนให้บริษัทมีกำไรสวยงามปรากฎในงบการเงินในช่วงเวลาดังกล่าว

SPCG สร้างโรงไฟฟ้าแบบ PHOTOVOLTAICS มีการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ที่แปลงพลังงานแสงเป็นพลังงานไฟฟ้าโดยตรง
อุปกรณ์หลักที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าแบบ PHOTOVOLTAICS คือ แผงพลังงานแสงอาทิตย์ และเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter)

คู่ค้าที่สำคัญของ SPCG ก็คือ บริษัท Kyocera ของญี่ปุ่นที่ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ขายให้ SPCG ซึ่งเป็นเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกในการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์ 
และอีกบริษัทคือ SMA   ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าจากประเทศเยอรมนี
นักลงทุนโปรดตั้งข้อสังเกตด้านค่าเงินบาทกับค่าเงินเยนและค่าเงินยูโร อันจะส่งผลต่อต้นทุนหลักๆในการผลิตโซลาร์ฟาร์มของ SPCG  ถ้าค่าเงินบาทอ่อน จะเกิดอะไรขึ้น ค่าเงินบาทแข็งจะเกิดอะไรขึ้น
ส่งผลต่อกำไรอย่างไร

SPCG อยู่ใน MEGATREND ??

ธุรกิจของ SPCG อยู่ในธุรกิจเมก้าเทรนด์หรือไม่ อย่างไร
เราสังเกตได้จากปริมาณการใช้ไฟฟ้าในประเทศเรา เพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่เราต้องการผลิตพลังงานทดแทนให้ได้เอง ในประเทศและต้องเป็นพลังงานสะอาดด้วย
จึงเป็นที่มาที่รัฐบาลให้การส่งเสริมสนับสนุน ธุรกิจประเภทนี้เป็นอย่างดี






















จากข้อมูลที่ได้มาต้นทุนการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบันใช้เงินทุนประมาณ 110 - 125 ล้านบาทต่อ 1 เมกะวัตต์ 
ดังนั้น โรงไฟฟ้าย่อยโรงหนึ่งๆ ของ SPCG จะมีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 660 - 750 ล้านบาท

และจะมีรายรับจากการขายไฟฟ้าประมาณ 105-120 ล้านบาท ต่อโรงไฟฟ้าต่อปี
หากจะคืนทุนก็ประมาณ  7-8 ปี  (หลังปีที่ 8 หากใช้หนี้หมดกำไรล้วนๆ)

ตัวเลขรายรับนี้ผมประมาณการเอาจาก ผลการดำเนินงานโดยรวมของ SPCG ใน  6 เดือนแรกของปี2556 นี้ มีรายได้ประมาณ 1,157 ล้านบาท อันได้มาจากโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์จำนวน 22 โรงไฟฟ้า
ผมประมาณแบบขั้นต่ำ ซึ่งบางโรงไฟฟ้าก็เพิ่งก่อสร้างเสร็จอาจยังไม่มีการรับรู้รายได้ ทางบัญชีด้วยซ้ำไป

วิเคราะห์ตามหลักการ
1. เจ้าของ/ผู้บริหาร





SPCG มีเจ้าของและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เกือบๆ 50 %
และยังบริหารงานบริษัทเองเป็น CEO เองอีกด้วย----- ผ่านครับ
กิจการนี้เป็นทรัพย์สินสำคัญของบริษัท ? ---- "ใช่"  ผ่านครับ แต่ผ่านครึ่งเดียว

ทำไม ??

ธุรกิจด้าน EPC ที่ทำกำไรไม่น้อย  ให้กับเจ้า้ของบริษัท กลับไม่ยอมเอาผลกำไรทางด้านนี้เข้าไปรวมกับ SPCG บริษัทแม่

EPC มาจาก  Engineering Procurement  and Construction  อะไรประมาณนั้น เป็นบริษัทย่อยที่ค่อนข้างทำเงิน
รับเหมาออกแบบก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้กับตัวเอง ยังมีจัดซื้อจัดจ้างอีก ใช่ครับผลประโยชน์ที่ทำกำไรทันที รับเหมาก่อสร้างให้ตัวเอง จ้างบริษัทลูกตัวเองทำโซลาร์ฟาร์มให้  เทียบกับขายไฟฟ้า จะได้กำไรภายหลัง ก็คือได้ทีหลังคืนทุนนาน ประมาณนั้น

เสียดายที่ไม่ยอมเอาของดี มาแบ่งปันกันรวย  เอาแต่ของที่ต้องลงทุนเยอะหนี้สูงมาแบ่งกันเป็นเจ้าของ

ตารางแสดงให้เห็นถึงรายได้เติบโตก้าวกระโดดของธุรกิจ EPC บริษัทลูก

2. บริษัท

กำลังอยู่ในช่วงของ Circle ของการเติบโต แน่นอนอันนี้ฟังธง ครับ















ในปี 2552 บริษัทมีสินทรัพย์เพียง 192 ล้านบาท ส่วนผู้ถือหุ้น 86 ล้านบาท
ผ่านไป 4 ปี โตกระโดด
ปัจจุบัน มีสินทรัพย์ 18,325 ล้านบาท ส่วนผู้ถือหุ้น 2,068 ล้านบาท

อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity ratio : D/E)  = 7.47

SPCG กู้เงินมามากจนน่ากลัว  น่าจะมีสาเหตุมาจากต้องใช้เงินมากเพื่อมาดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้ครบทั้ง 36 โครงการนั่นเอง

ธุรกิจแนวๆโรงไฟฟ้านี้ แรกเริ่มมักจะติดลบกระท่อนกระแท่น แต่ถ้าตั้งหลักได้ไม่ล้มตายหายไปจากธุรกิจก็จะยืนหยัดมีกำไรไปอีกแสนนาน(แม้จะต้องจ่ายดอกเบี้ยมาก)
 ดูจากช่วงแรกๆบริษัท มี อัตรากำไรสุทธิเพียง 1-3%
ปัจจุบัน ไตรมาส 2/56  อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 17.6 %

และมีปัจจัยส่งเสริมหนุนการเติบโต ด้านการทำหลังคาให้เป็นแผงโซลาร์ของรัฐบาลไทยเข้ามาเพิ่ม

"พัฒนาโอกาสทางธุรกิจด้านการส่งเสริมให้ประชาชนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา บ้าน อาคาร เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ  ส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าและลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงที่มีการใช้สูงสุด (Peak) เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนพลังงานและลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า


และ รัฐบาล เตรียมออกมาตรการภาษีและสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ติดตั้งตามนโยบาย ซึ่งนอกจากช่วยประเทศชาติลดการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศแล้ว ยังเป็นการใช้พลังานสะอาดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศชาติ "



3.อนาคต คาดการณ์ว่าเมื่อสร้างโรงไฟฟ้าครบทั้งหมด 36 สัญญาจ้างแล้ว
SPCG จะมีรายได้จาก
             โรงไฟฟ้าต่อปีทั้งสิ้นในช่วง 3800-4,200 ล้านบาท
             สมมติอัตรากำไรสุทธิที่ 15% จะมีกำไรปีละ 570 - 630 ล้านบาท
             รายได้ธุรกิจเหล็กรีดหลังคา ต่อปี 300 ล้านบาท
             สมมติอัตรากำไรสุทธิที่ 3% จะมีกำไรปีละ  9 ล้านบาท
             รายได้จากธุรกิจ Solar Roof ...ยังไม่ทราบได้......
           
              คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.92 - 1.016  บาทต่อหุ้นต่อปี
              PE ในอนาคตจะอยู่ที่ประมาณ 22

ที่จะมากับการเติบโตที่หยุดชะงัก


 หากไม่สามารถหางานโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเข้ามาเพิ่มเติม
จาก 36 สัญญาโครงการ ที่มีอยู่เดิม

SPCG ก็จะเปลี่ยนสถานะจาก หุ้นเติบโตเร็ว (Growth) เป็นหุ้น ปันผล (Dividend) แทน

ส่วนราคาถูกหรือแพง  อาจารย์อา บอกไว้ว่า อย่าดูที่ราคาซื้อขาย ให้ดูที่ Marketcap
เรามาดูกันครับ




































ตอนนี้ SPCG ซื้อขายกันที่ ราคา 22.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าตลาด 13,824 ล้านบาท
กับบริษัทที่ในปี 2558 จะมีรายรับต่อปีที่  4,500 ล้านบาท  มีผลกำไรต่อปีอยู่ที่ประมาณ 600 ล้านบาท
ถูกหรือแพง ต้องไปคิดกันเอาเอง ตอบแทนกันไม่ได้นะครับ เพราะทัศนคติแต่ละคนต่างก็มีมุมมองไม่เหมือนกัน


ประเด็นข่าวร้อนอื่นๆว่าจะมีการจัดตั้งกองทุนโรงไฟฟ้า
และ การขยายงานโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ไปยังต่างประเทศ เช่น อินโดนิเซีย
อันจะส่งผลบวกต่อราคาหุ้นนั้น ยังไม่ชัดเจนมาก

ก็ต้องติดตามกันต่อไป

พบกับ Find Stock By Natural Style ได้ใหม่ ในวันและเวลาดีๆต่อไป

สำหรับวันนี้ สวัสดีคร้าบบบบบ












วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วิวัฒนาการสู่โลกอารยธรรม Mega Trend ตอนที่ 1: พบกับวงซิมโฟนี่ออเคสตร้า(SYMC) ดนตรีเพลงบรรเลงบนโลก IT





อาจารย์ที่ผมเคารพรักท่านหนึ่ง (แม้นว่า ท่านไม่ได้สอนผมโดยตรง แต่ผมก็นับถือท่านประดุจอาจารย์อา)
ได้ให้มุมมองในเรื่องหนึ่ง จากหลายๆเรื่องของเมกะเทรนด์ไว้ว่า
"ในอนาคต ผู้คนจะขาดคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ไม่ได้"

นั่น คือ สิ่งจำเป็นของมนุษย์ เทียบได้กับปัจจัย 4  ซึ่งในทุกวันนี้วิชาเรียนตอนชั้นประถม
ของผมคงต้องเปลี่ยนแปรไป เมื่อปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตอาจจะปาเข้าไปถึง 7-8 ปัจจัยแล้ว
บางคนก็เพิ่ม รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์และก็อินเตอร์เน็ตเข้าไปเป็นปัจจัยเสริม

และแล้ว ก็เป็นสิ่งธรรมดาในโลกของธุรกิจ การค้า ก็จะหาทางทำมาหากิน ดูดทรัพย์กับสิ่งเหล่านี้     เพราะเมื่อมี Demand ก็ต้องมี Supply ที่ใดมี Supply ที่นั่น ก็ต้องมี เงินตรา

ในเมื่อคอมพิวเตอร์นั้นราคาขาย นับวันมีแต่ถูกลงๆ ไม่น่าสนใจอีกต่อไป
เราก็มาดูในกลุ่มผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตกันดีกว่า





































เปิดค้นคว้าหาในอินเตอร์เน็ตไป-มา จนมาเจอสิ่งนี้เข้า  กลุ่มหุ้นในธุรกิจ ICT
โจทย์จากอาจารย์ที่เคารพของผม
 -  ให้เลือกหุ้นจากกลุ่ม เล็กและกลาง (SmallCap , MediumCap)  ต่ำกว่า 5000 ล้านบาท
 -  เป็นกิจการที่ดี อยู่ในกลุ่ม Mega Trend
 -  เจ้าของกิจการเป็น CEO เอง บริหารงานเอง
 -  PE ไม่เกิน 8 ก็จะดี (ไม่มีเลยกลุ่มนี้ ของดีมักจะแพง ) บางคนบอกทำไมไม่เอา SYNEX กับ MSC

 คำตอบ SYNEX ขายอุปกรณ์คอมฯ ไม่ใช่ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ขายของแบบนี้มันเหนื่อยมาก กว่าจะได้ขาย และคู่แข่งเยอะมากๆ  MSC  ก็ขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เหมือนกัน แต่มีซอฟแวร์ด้วย แค่ฟังก็เหนื่อยแล้ว การละเมิดลิขสิทธิ์ในบ้านเรามันแพร่หลายเกินไป

 - ROE ราวๆ 20%   อ่าาา ROE ได้ 18 น่ะ หยวนๆไปนะ
 - เลือกมาสักตัวก่อน  SYMC
             
  SYMC ทำอะไรหนอ เราไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย หรือขายซิมการ์ดมือถือนะ? ลองเข้าไปดู
ข้อมูลใน www.settrade.com ดีกว่า เปิดมาก็เจอรูปนี้.......

















อืมมมม ทำเสียงดังในลำคอยาวๆ  หล่อนะเนี้ยะ ...  นี่ใช่ เคน ภูภูมิ รึเปล่า ....
หนี้สินน้อย 350 ล้านเอง ส่วนของเจ้าของเยอะมาก 1250 ล้านบาท ที่สำคัญกำไรทุกปี แบบนี้น่าคบ
เป็นหุ้นส่วนธุรกิจด้วย

สัดส่วนของอัตรากำไรสุทธิก็เท่ห์ไม่หยอก 23 %  ขายของ 100 บาท กำไรสุทธิ 23 บาท ไม่เลวๆ
แต่เอ๊ะ .. ทำไมลดลงๆ ทุกปีๆ ละนั่น  ลดลงจาก 34 % มาเรื่อยๆทุกปีๆ จนเหลือ 23 % ในปีนี้ได้
แม้อัตรากำไรจะลดลง แต่ตัวมูลค่าเงิน มันเพิ่มขึ้น ก็หยวนได้นะ

มาวิเคราะห์แบบสไตล์ธรรมชาติๆกันดีกว่า
ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น  แจ้งเกิดจากการได้สัมปทานกิจการโทรคมนาคม 15 ปี
นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ก็จะไปหมดเอา ราวๆปี พ.ศ.2564  ก็เหลือเวลา อีกราวๆ 8  ปี นับจากวันนี้

ปี 2550 วางเคเบิ้ลใยแก้วบนเส้นทางรถไฟ BTS
ปี 2551 ได้สิทธิ์วางเคเบิ้ลใยแก้วบนเสาไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง
ปี 2553 เซ็นสัญญาให้บริการเคเบิ้ลใยแก้วกับการไฟฟ้านครหลวง 12 ปี (หมดในปี2565)
 เอ้ะ งง ...สัมปทานหมดปี 2564 แต่ทำไมให้บริการ กฟน.ได้ถึงปี 2565 น้อ แกล้งไม่รู้ดีกว่า หุหุ
ปี 2554 ได้รับใบอนุญาตให้บริการวงจรเช่าส่วนบุคคลระหว่างประเทศ  มีอายุ  15 ปี
ปี 2555 ได้ขยายพื้นที่ให้บริการในเขตเศรษฐกิจหลักในภูมิภาค เช่น เขตนิคมอุตสาหกรรมกว่า 24  แห่ง และจังหวัดหัวเมืองใหญ่ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ อุดรธานี และขอนแก่น เป็นต้น

ปี 2555 ถือว่าเป็นปีแห่งจุดเปลี่ยนเลย ที่ได้ขยายฐานลูกค้าระดับองค์กรไปแบบก้าวกระโดดนี้เอง




















สรุป SYMC ทำอะไร? แบบง่ายๆ
SYMC ทำสัมปทานวางเส้นเคเบิ้ลใยแก้ว และเก็บค่าบริการ ภายในระยะเวลา 15ปี

แล้วเคเบิ้ลใยแก้ว คืออะไร ?
เคเบิ้ลใยแก้ว คือ คล้ายๆแนวสายโทรศัพท์แต่เป็นแนวสายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงมากๆที่ส่งต่อข้อมูล
มากๆเยอะๆแบบองค์กรใหญ่ๆเค้าใช้กัน  บ้านเรือนหลังเล็กๆคงไม่จำเป็นต้องเอาอินเตอร์เน็ตเร็วแรงขนาดนั้นมาใช้

ลูกค้า ของ SYMC ก็มีหลักๆ 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก ให้บริการชั่วโมงเน็ต คือเช่าเน็ตของ SYMC แล้วไปกระจายขายต่ออีกที
เช่น  CS Loxinfo , INET , DTAC , CTH , RS , GRAMMY อะไรแบบนี้

กลุ่มที่สอง ก็เป็นองค์กรยักษ์ใหญ่ ที่ต้องใช้เน็ตแรงๆเชื่อมกัน ยกตัวอย่างมาแบบเห็นภาพๆสักอัน
ก็ เช่น พวกกลุ่มธนาคาร  กลุ่มค้าปลีก  อะไรแบบนั้น

ลูกค้าทราบแล้ว
แล้ว รายได้อ่ะ มายังไง ?
SYMC มีรายได้หลักจากการให้บริการให้เช่าวงจรสื่อสารความเร็วสูง และมีรายได้อื่นๆ เช่น รายได้จากการบริหารจัดการและบำรุงรักษาโครงข่าย












จากรูปข้างบน เราจะพบว่า รายได้หลักๆที่มาหล่อเลี้ยงกิจการมาจากการบริการด้านให้เช่าวงจร
และเป็นการให้เช่าวงจรแบบ  Metro Ethernet

ส่วนรายได้ที่เติบโต คือ  Metro Ethernet และ SDH&EOSDH











และ เมื่อเราแบ่งประเภทรายได้ ตามการใช้งาน ในปี 2555
จะพบว่า... รายได้จาก Internet Access มีมากที่สุด 47% เป็นเงิน 364 ล้านบาท
รองลงมาคือรายได้จาก Private Network  22% คิดเป็นเงิน 173 ล้านบาท

 แต่การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนั้น พระเอกอยู่ที่่ Digital Broadcast เติบโตเกือบเท่าตัวจาก
30 ล้านบาทไป 68 ล้านบาท ในเวลาเพียง 1 ปี เท่านั้น คิดเป็นการเติบโต  126% เลยทีเดียว

 ในอนาคตวงการการสื่อสาร SYMC วางตัวเองเป็น ทางด่วนของข้อมูลนะครับ
 คือการเดินทางไปจุดหมายหลักๆของข้อมูล ทางเคเบิ้ลใยแก้ว ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของข้อมูล IT
ถ้าต้องการความรวดเร็วก็จ่ายค่าเช่าแล้วเดินทางได้เลย

ข้อเสียก็คือ การเดินสายเคเบิ้ลใยแก้วนี้แม้เป็นสัมปทานหน่วยงานรัฐ
แต่ก็ไม่ได้ห้ามหน่วยงานอื่นๆ ที่ประกอบธุรกิจทางด้านนี้ เข้ามาดำเนินการนะครับ
เรียกได้ว่า เป็นสัมปทานที่ไม่ได้ผูกขาดเท่าไหร่นัก

อย่างไรก็ดี โอกาสเติบโตในอนาคตของผู้บริหารมองว่า
วงจรเช่าส่วนบุคคลระหว่างประเทศ (International Private Leased Circuit : IPLC)
อีกสักพัก1-2 ปี จะมีสัดส่วนรายได้ มากกว่า 50% ทีเดียว
คือการเอาข้อมูลอินเตอร์เน็ตจากต่างประเทศมาให้บริการในเมืองไทย
นี่เป็นดีลที่ดี ซึ่งหากมองอนาคต AEC การใช้ข้อมูลจากต่างประเทศย่อมต้องมีมากขึ้น

(ต่างประเทศนี้คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ ลาว และกัมพูชา และจะมีพม่า นะครับ ไม่ใช่พวกอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ทำนองนั้น โปรดรับทราบ ^_^ )



IPLC คืออะไร  IPLC เป็นบริการวงจรเช่าสำหรับลูกค้าองค์กรทั่วไป อาทิ ธนาคาร โรงงานอุตสาหกรรม บริษัทข้ามชาติ ที่มีความต้องการต่อเชื่อมระบบข้อมูลจากสำนักงานในประเทศไทย ไปยังสำนักงานที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ

และในทางกลับกันใช้สำหรับองค์กรทั่วไปในต่างประเทศที่ต้องการต่อเชื่อมมายังสำนักงานในประเทศไทย

เป็นบริการวงจรเช่าสำหรับบริษัทผู้ให้บริการโทรคมนาคมอื่นใช้เป็นโครงข่ายหลัก (Backbone) ต่อเชื่อมไปยังสถานีของผู้ให้บริการวงจรสื่อสารระหว่างประเทศในประเทศต่างๆ



จากรูปข้างบนนะครับ เดิมที Symc เช่าพื้นที่บางส่วนจากการไฟฟ้านะครับ พอธุรกิจโต ลูกค้าโต
Symc ก็เช่ามากขึ้นๆ ทำให้สัดส่วนรายได้เกิดการคงที่ครับ พอถึงจุดๆหนึ่งที่การลงทุนเอง
จะเริ่มคุ้มกว่าเช่า Symc ก็เริ่มเดินหมากเกมส์นี้กันไปแล้ว

ในภาพจะแสดงให้เห็นว่า งบลงทุน  6-7 ร้อยล้านบาทของ SYMC นั้น ทำอะไร ?
จะเปลี่ยนแนวเชื่อมโยงข้อมูล จากสีส้มที่เช่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิต
ให้เป็นแนวสีเขียว  สีเขียวคือของบริษัทเป็นเจ้าของเอง แต่เดิมกระจุกอยู่แค่เมืองหลวง



ผมให้ผู้บริหารของ Symc มีกึ๋นในระดับที่ดี ไม่เดินหมากมั่วซั่ว แต่เดินแบบมีชั้นเชิงและกลยุทธ์
การสร้างบริษัทนี้เองมากับมือ ตั้งแต่ปี 2547 คงไม่ใช่เรื่องฟลุ้ค จะไม่เชื่อฝีมือคงไม่ได้
เกียรตินิยมอันดับ2 วิศวะไฟฟ้า ม.เกษตร คงยืนยันได้เป็นอย่างดี
ผนวกกับประสบการณ์กว่า 25 ปี คงพอที่จะเป็นกัปตันเรือที่ดี ไม่ธรรมดา
ส่วนในเรื่องคุณธรรม จริยธรรมนั้นก็ผ่าน เป็นคนรักครอบครัวและสร้างองค์กรให้เป็นองค์กรแห่ง
ความสุข แถมยังเน้นเรื่องการสร้างทีม



ข้อสังเกตอื่นๆ

1. การเติบโตของกลุ่มลูกค้าองค์กร จะช้ากว่า กลุ่มประชาชน ทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
    หากใครใจร้อน อยากรวยเร็วไม่แนะนำ แต่ใครชอบรวยช้าๆรวยนานๆก็ลองดูได้ครับ

2. รายได้จากการขายมาเป็นเงินก้อนใหญ่ จากลูกค้าองค์กร ค่าใช้จ่ายในการดูแลลูกค้าจะไม่มาก
   เท่ากับ ลูกค้ารายย่อยจ่ายเดือนละ 500 บาทแต่มีล้านคน สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการดูแลลูกค้า
   จะต่างกันเยอะ

3. มูลค่าบริษัทที่ 5000 ล้านบาท ถือว่าถูกมากๆ กับสิ่งที่จะทำในอนาคตและรายได้กับกำไร
   ที่รับอยู่ปัจจุบัน  ปีหนึ่งๆก็ เกือบ 1 พันล้านบาทแล้ว

4. กำลังพัฒนา ซอฟท์แวร์ด้านการถ่ายทอดภาพและเสียง(ทีวี) ผ่านทางอุปกรณ์ แท็บเล็ต มือถือ
    ไอโฟน (IPTV : Internet Protocal Television) ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะสำเร็จหรือไม่ มีรายได้อย่างไร
    จากใคร เดาว่า CTH ,RS แต่ถ้าหากสำเร็จ ขึ้นมาก็น่ากลัวจะวิ่งไปไกล

5. บริษัทลงทุนเยอะกว่าปีที่ผ่านๆมาอย่างน่ากลัว แสดงให้เห็นถึงโอกาสอะไรบางอย่างที่คุ้มค่าจึงลงทุนเพิ่ม จากเดิมไม่ค่อยลงทุนอะไรมาก


6. บริษัทเลือกที่่จะเป็นพันธมิตรกับคู่แข่งทุกคน เพื่อมีความสัมพันธ์อันดี ไม่แก่งแย่งลูกค้ากันเอง
    อันจะมีผลต่อสงครามราคา(Price WAR) ในอนาคต ตามหลักการรบ ไม่ฆ่ากันเองดั่งบางธุรกิจ
    ที่สุดท้ายก็เจ็บกันหมด

















บริษัทเติบโตแบบพอเพียง จึงมีอัตราหนี้สินต่อทุนที่ต่ำมาก จึงไม่น่าหวั่นไหวกับลมพายุ
ฟ้าฝนในตลาดหลักทรัพย์เท่าใดนัก ด้วยจำนวนหุ้นเพียง 300 ล้านหุ้นเท่านั้น
ROA และ ROE อยู่ในระดับที่น่าประทับใจ  15 % ++

กำไรสุทธิยิ่งน่าประทับใจกว่า ที่ 28.6 % แม้อนาคตจะลดลงแต่กำไรจะเพิ่มขึ้นตามขนาดมูลค่าตลาด
เช่น อัตรากำไรสุทธิเหลือ 25% ของรายได้ 1000 ล้าน ก็จะกำไร 250 ล้านบาท สูงกว่า 234 ล้านบาท
( 28.6% ของเงิน 819.57 ล้านบาท)

สรุป

ในช่วงปีถึงสองปีนี้ Symc อาจจะไม่โดดเด่นนักในเรื่องของกำไร
เพราะว่าบริษัทมีการขยายตัวในการลงทุน (จากเดิมที่เช่าบ้านเค้าเป็นสร้างบ้านอยู่เอง)
แต่เมื่อมองสิ่งที่ลงทุน ถือว่าอนาคตจะสร้างรายได้ให้อีกมากมาย นับว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว
(เปรียบเหมือนมีบ้านเป็นของตัวเองยังแบ่งห้องพักเก็บค่าเช่าและค้าขายหารายได้อีก)

แต่อีก 2-3 ปี เมื่อการลงทุนเสร็จเม็ดเงินก็คาดว่าจะไหลมาอย่างสบายใจ

หากใครไม่รีบ มองหาบริษัทที่ดี ที่น่าฝากฝังเงินลงทุนด้วย ในธุรกิจที่มีโอกาสแห่งการเติบโตสูง
ในกลุ่ม ICT ละก็ คงจะมองข้ามหุ้นตัวนี้ไปไม่ได้

ในช่วงหนึ่งปีถึงสองสามปีนี้ Symc กำไรอาจจะยังไม่เติบโตโดดเด่นมาก
อาจจะเห็นการเติบโตเพียง 5-10%เท่านั้น
และก็มีหลายบริษัทที่ดำเนินธุรกิจคล้ายๆกันอยู่ อย่าง JASTEL ที่เป็นบริษัทลูกของ JAS
ถึงแม้จะมีคู่แข่งแต่อุสาหกรรมกลุ่ม  ICT ยังมีตลาดที่จะเติบโตไปได้อีกมาก










วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ITD หุ้นรับเหมารายใหญ่ เฉิดไฉไลจริงหรือ ?




ในสมัยประมาณปี พ.ศ.2499  ยุคที่อันธพาลได้ครองเมือง
และวัยรุ่นชายนิยมพกหวีไว้ในกางเกงนั้น
การขนส่งที่นิยมใช้กันยุคนั้นก็คือทางน้ำ พาหนะยอดฮิตก็คือเรือสินค้า

และก็ได้มีชายผู้หนึ่ง อาสาช่วยญาติของเขา ทำธุรกิจสัมปทานกู้เรือ ร่วมกับชาวอิตาลี
จนกิจการไปได้ดิบได้ดี  ขยับขยายจากเล็กไปใหญ่ ตั้งชื่อบริษัทว่า อิตัลไทย




จนเมื่อราวปี 2520 ชาวอิตาลีได้เสียชีวิตลง ทุกอย่างเลยตกอยู่ในกำมือของคนไทย
และทำกิจการหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือรับเหมาก่อสร้าง

สมัยก่อนบริษัทอิตาเลียนไทย มักรับงานเอกชน มากกว่างานก่อสร้างของรัฐ ในสัดส่วน 60 : 40

พอเกิดวิกฤตปี 40 จึงหันมารับงานก่อสร้างของภาครัฐมากขึ้น น่าจะเข็ดกับยุคฟองสบู่
ปัจจุบันลูกค้ารายใหญ่ของอิตาเลียนไทย   ต่อไปขอเรียกว่า ITD. 
จึงผูกกับงานโครงการของภาครัฐ และ รัฐวิสาหกิจเกือบ 90% ของมูลค่างานทั้งหมด

งานของ ITD นั้นมีหลากหลายประเภทงานมาก ซึ่งบริษัทเค้าก็แบ่งประเภทงานก่อสร้างออกมา
ได้  9  สายงาน คือ


1. งานก่อสร้างอาคารสำนักงาน  อาคารชุด  ตึกสูง  และโรงแรม
2. งานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
3. งานวางท่อระบบขนส่งน้ำมัน,แก๊สและน้ำ ท่อร้อยสายไฟใต้ดินและถังเก็บน้ำมันขนาดใหญ่
4. งานก่อสร้างทางหลวงแผ่นดิน  ทางรถไฟ งานทางรถไฟความเร็วสูง งานทางวิ่ง งานสถานี
    งานวางราง และงานระบบรถไฟฟ้า  สะพาน และระบบทางด่วน
5. งานก่อสร้างสนามบิน ท่าเรือ และงานทางทะเล
6. งานก่อสร้างเขื่อนอเนกประสงค์  อุโมงค์   และโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า
7. งานด้านโครงสร้างเหล็ก
8. งานด้านระบบการสื่อสารและโทรคมนาคม
9. งานด้านการพัฒนาเหมืองแร่และถ่านหิน

โครงสร้างรายได้ของบริษัทในแต่ละสายงาน







































จะเห็นได้ว่ารายได้หลักๆของบริษัท จะมาจากแค่ 4-5 กลุ่มเท่านั้น
เรียงตามลำดับสายงานที่ทำรายได้ จากมากไปน้อยดังนี้

1) ก่อสร้าง ถนน ทางรถไฟ ทางด่วน    สัดส่วน 26.25%
2) โครงการจัดกลุ่มไม่ได้                    สัดส่วน 17.54%
3) ก่อสร้างอาคาร คอนโด โรงแรม       สัดส่วน 15.19%
4) วางระบบท่อน้ำมัน แก๊สฯลฯ            สัดส่วน 13.14%
5) สนามบิน ท่าเรือ ทะเล                    สัดส่วน 10.89%

รวม 5 ข้อ มีสัดส่วนรายได้มากกว่า         83%

ITD มีบริษัทย่อยมากมายหลายสิบบริษัท แต่ที่ทำเงินเข้ามาสู่บริษัทแม่ในปีที่ผ่านมานั้น
มีบริษัทหลักๆอยู่3-4 บริษัท  คือ

                 ชื่อบริษัทย่อย                               รายได้(ล้านบาท)                   คิดเป็นสัดส่วน

 1. บจก.ไอทีดี ซีเมนท์เทชั่น อินเดีย                      9,500                                    46 %
 2. บจก. ภูมิใจไทยซีเมนต์                                    1,247                                     6 %
 3. กิจการร่วมค้าไอทีดี ไอทีดี เซ็ม(คอนซอเทียม)    1,222                                   5.8 %
 4. กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ไอทีดี เซ็ม                        1,274                                   6.2 %

ซึ่งกิจการ ที่ทำรายได้เยอะๆ นั้นไม่ใช่ว่าเก่งกาจ เป็นพระเอกกว่ากิจการอื่่นๆ อะไร
แต่เป็นเพราะ มูลค่างานเยอะกว่าก็เท่านั้นเองครับ

ว่ากันง่ายๆ มูลค่างานก่อสร้างเยอะ รายได้ก็เยอะ แค่นั้น........  ง่ายไหมครับ

ฟังดูก็ง่ายมาก แค่รับงานใหญ่ๆยักษ์ๆ รายได้ก็จะเข้ามาเยอะแล้ว
แต่ความยากของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง  อยู่ที่การบริหารจัดการมากกว่า
และความเสี่ยงสูงสุด อยู่ที่ปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ต่างหาก

อาทิเช่น ฝนตก  น้ำท่วม  วัสดุขาดตลาด แรงงานหาไม่ได้ - อันนี้ส่งผลต่อระยะเวลา
ซึ่ง  เวลานี่แหล่ะที่สำคัญที่สุด  เพราะทุกสัญญาก่อสร้างมีค่าปรับ...
ปรับจริงและปรับหนัก   ยิ่งงานมูลค่าสูง ค่าปรับก็น่าหวาดเสียวอย่างยิ่ง

วัสดุขึ้นราคา  อันนี้มีหนาว เพราะตอนประมูลงาน สมมติตอนนั้นเหล็ก กิโลกรัมละ 20 บาท
เศรษฐกิจโลกกลับมาดีขึ้นพอดีสร้างๆอยู่  เหล็กขึ้นราคากลายเป็น กิโลละ 30 บาท ก็มีมาแล้ว



มาดูผลประกอบการกันบ้าง




































จากงบกำไร-ขาดทุน

บริษัท ITD จะมีกำไรขั้นต้นประมาณ 9.3 %
มีต้นทุนทางการเงินประมาณ  5.6 %
เสียภาษีที่ 0.5 %


คือถ้ารับเหมาก่อสร้าง 1 โครงการมูลค่า 100 บาทจะมีกำไรขั้นต้น  9.3 บาท
แต่กำไรจะถูกหักออกไป ประมาณ 6.1 บาท เป็นต้นทุนทางการเงิน เช่น ค่าดอกเบี้ยเงินกู้
หุ้นกู้ เป็นต้น และ ภาษี

ดังนั้นจะเหลือกำไรสุทธิประมาณ  3.2 %

ดอกเบี้ยก็หนักซะเหลือเกิน แบกเกือบจะไม่ไหวอยู่ละ
ใครเป็นเจ้าหนี้ ITD คนนั้นรวย 555+

มุมมอง ส่วนตั้วส่วนตัวของผม  ผมคิดว่า


อิตาเลียนไทยมีข้อเสีย คือ

  1.ไม่เลือกงาน  จริงๆแล้วการไม่เลือกงาน เป็นข้อดีของคน
แต่พอ ออกมาอยู่ในรูปของบริษัท ในโลกธุรกิจ แล้ว มันคือข้อเสียครับ
มันต้องเลือกงานกันบ้าง  โครงการออกมา สมมติ10 โครงการ จะเอาหมดมันก็ไม่ไหวถูกมั้ยครับ

เพราะทรัพยากรหลักๆมันมีจำกัด  ( คนงาน เงินทุน  เครื่องจักร วัสดุ )
หากใครคิดว่าวัสดุมีไม่จำกัด  โรงงานผลิตป้อนไม่ทันก็มีนะครับ ในงานก่อสร้างใหญ่ๆน่ะ

มันต้องเลือกหยิบเฉพาะชิ้นปลามันเท่านั้น

บริษัทที่รับงานโครงการก่อสร้างหลักพันล้านบาท ต่อโครงการ  และยังมีงานอยู่ในมืออีกมากมาย
(ไม่ใช่ว่าไม่มีงานนะครับ)  ทำไมต้องลงไปรับงานก่อสร้างมูลค่าหลัก ร้อยกว่าล้านบาทอีกด้วย
ทั้งที่มันไม่คุ้มค่ากับ ค่าดำเนินการและผลกำไรที่จะได้รับ

สู้เอาแรงงาน ทรัพยากรและเวลาไปทุ่มกับโครงการขนาดใหญ่ แบบเน้นๆ ให้มันมีกำไร
ในโครงการใหญ่ๆ แล้วยอมเจ๊งทิ้งโครงการเล็กๆ ยังจะเห็นผลเป็นรูปเป็นร่าง
และมีประสิทธิภาพมากกว่าอีก

ITD ควรจะรับงานกำไรเน้นๆ  งานที่มีความถนัด รับงานที่บุคลากรเชี่ยวชาญ
ทำในสิ่งที่บริษัทถนัด และสิ่งแวดล้อมเอื้อประโยชน์
ถ้าเปรียบเป็นชกมวย ก็ไม่ต้องแย็ปมาก ปล่อยหมัดฮุค หมัดน๊อคอย่างเดียว

อันไหนไม่ถนัดก็ไม่ต้องไปทำ โอกาสกำไรมันก็ยาก เพราะทำงานที่ไม่ถนัด

2. ทำงานยา่ก   งานยากในที่นี้ ก็คือ โครงการแบบที่ต้องใช้เครื่องมือ
ใช้ความเชี่ยวชาญพิเศษดำเนินการ
ITD ไม่ควรรับงานยากมาทำเลย เพราะโอกาสมีกำไรจะไม่เหลือ  
ค่าใช้จ่ายจะถูกใช้ไปกับค่าอุปกรณ์ชนิดพิเศษ บุคลากรที่ชำนาญงาน ค่าจ้างแพงๆ
และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน

ผมยกตัวอย่างงานยากๆ ให้ดู เผื่อจะได้เห็นภาพนะครับ

งานจ้างเหมาก่อสร้างเคเบิลใต้น้ำ 115 เควี ไปเกาะสมุย 3500 ล้านบาท
แค่ฟังชื่อโครงการก็ขนลุกแล้ว วิธีการทำงานแบบใต้น้ำ มันคงไม่ง่ายสักเท่าไหร่
แบบนี้จะมีกำไรได้อย่างไร
หรืออีกสักตัวอย่าง
งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง 24000 ล้านบาท ที่ต้องรื้อถอน เสาโฮปเวลล์เก่าด้วย
มีตอม่อเสาคอนกรีตขนาดใหญ่ ที่ทิ้งร้างมาหลายสิบปี ไม่ว่าใครก็ส่ายหัว แต่ ITD เอาครับ

งานแข็งๆทั้งนั้น  เหลือแต่กระดูกๆให้กิน เนื้อนุ่มๆไปไหนหมดไม่ทราบ

เป็นที่มาของอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ ศูนย์กว่าเปอร์เซ็นต์ ในอดีต และเพิ่งเป็น สามเปอร์เซ็นต์ในปี 56
อัตรากำไรสุทธิน้อยมาก เพราะรับประทานแต่เนื้อเหนียวๆ เคี้ยวยาก  ดังภาพ
อ้อ เคยติดลบด้วยแน่ะ..















ITD คือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่กำไร ไม่ค่อยจะใหญ่ตามตัว ตามที่เคยอธิบายไปแล้วข้างต้น

ยังไม่พอ หนี้สินก็เยอะอีก (ก็แหงสิ เงินทุนมีจำกัด ไปรับงานซะกี่แสนล้าน มันก็ต้องกู้เงินน่ะ)
ล่าสุดเพิ่งทำการเพิ่มทุนในตลาดหลักทรัพย์ไป
นี่คือสิ่งที่ผ่านมาในอดีต

แล้วอนาคตล่ะ ??

อิตาเลียนไทย มีโครงการสานฝันสู่อนาคตหลักๆตอนนี้ที่นับได้สามโครงการถ้วน

โครงการที่หนึ่ง    ทวายโปรเจ็ค





อันนี้ศึกษาดูแล้วไม่ไหว  ออกแนว แป้ก !! ครับ

ตอนแรก บริษัท กะกินเรียบ ก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก นิคมอุสาหกรรม แล้วเก็บเงินสัมปทาน
กินยาวตลอดหลายสิบปี  ปัญหาคือ ไม่มีสตังค์น่ะสิ เพราะพม่า ไม่ลงเงินลงทองช่วยเลยสักนิด
ให้ ITD ควักกระเป๋าอย่างเดียวมานาน แต่ให้สิทธิ์สัมปทานคืน เป็นการตอบแทน

ฝันที่เคยหวาน ก็กลับหวนสู่ความจริง


เมื่อมีรัฐบาลญี่ปุ่นเข้ามาแจมเค้ก S&P
ญี่ปุ่นเข้ามาทำท่าเรือน้ำลึุก ที่เมืองหลวงเก่าของพม่า ชื่อว่าท่าเรือติวาลา 
ห่างเมืองย่างกุ้ง 25 กิโลเมตร เอง
 มีทั้งเงิน มีทั้งกลยุทธ์ และใกล้แล้วเสร็จละด้วยเปิดปี 58


 ITD หนาวมาก  ติดดอย !! ทันที  ลงเงินลงแรงไปกับ ทวายตั้งเยอะ
จากแหล่งข่าว แจ้งว่าลงเงินไป  6-7 พันล้านบาทแล้ว
ตอนนี้ยังไม่มีรายรับเข้ามาเลย เพราะยังไม่เสร็จ

 ITD มุขแป้ก....รอบนี้พอทำท่าว่าจะไปไม่รอด จึงหันมาหาความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทย
ทำความร่วมมือแบบG to G , Goverment to Goverment  โดยมีกลยุทธ์ใหม่คือ
เปิดรับผู้ลงทุนร่วม

ITD ก็จะขอแจมทุกการลงทุนขอถือหุ้นประมาณ 25% แทน ไม่กำไรก็ขอขาดทุนลดลง -  -

ดีลนี้จาก 100 % ลดเหลือ 25 %ไม่นับเงินที่ลงไปก่อนหน้า

ในส่วนรูปแบบการลงทุน คือ จัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ(SPV)
ในลักษณะที่เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนขึ้นในประเทศไทย



ไทยถือหุ้นในเอสพีวีทั้งหมดร้อยละ 50
ส่วนหุ้นที่เหลือจะเป็นของสหภาพเมียรมาร์และญี่ปุ่นตามลำดับ
โดยในฝ่ายรัฐบาลไทยถือหุ้นร้อยละ 26 จากหุ้นทั้งหมดร้อยละ 51
 ส่วนที่เหลือเป็นของบริษัทอิตาเลียนไทย (25%)
สามารถถือเท่าไหร่ก็ได้แต่ไม่เกินร้อยละ 25
 ส่วน SPV จะทำหน้าที่เป็น Holding  company ที่จะมีนิติบุคคลย่อยๆอีก 8 บริษัท

เงินลงทุนในโครงการท่าเรือ 3 พันล้านบาท
เขื่อน  3 พันล้านบาท
ที่พักอาศัย 200 ไร่ มูลค่า 4.5  พันล้านบาท
โครงการในนิคม 4-5 พันล้านบาท
รวมลงทุน 1.5 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว

โครงการที่สอง    บริหารจัดการน้ำ 5 โมดูล






โครงการน้ำจากรัฐบาลไทยมูลค่า 2.9 แสนล้าน
ITD คว้างานมาทำได้ประมาณ 1.1 แสนล้าน

(จากงบประมาณเดิมคาดว่าใช้เงิน 3.5 แสนล้าน เหลือทำจริง ประมาณ 2.9 แสนล้าน)

กิจการร่วมค้า ไอทีดี พาวเวอร์ ไชน่า เจวี  (ITD POWER CHINA JV.) ชนะการประมูล 5 โมดูล ดังนี้

โมดูลที่ A1 การสร้างอ่างเก็บน้ำอย่างเหมาะสมและยั่งยืนในพื้นที่ลุ่มน้ำปิง, ยม, น่าน, สะแกกรัง และป่าสัก ให้ได้ความจุเก็บกัก 1.3 ล้าน ลบ.ม. วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท

โมดูลที่ A2 การจัดทำผังการใช้ที่ดิน / การใช้ประโยชน์ที่ดิน ในพื้นที่ลุ่มน้ำ รวมทั้งการจัดทำพื้นที่ปิดล้อมพื้นที่ชุมชนและเศรษฐกิจหลัก สำหรับพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา  วงเงิน 2.6 หมื่นล้านบาท

โมดูลที่ A4 การปรับปรุงสภาพลำน้ำสายหลักและการป้องกันการกัดเซาะตลิ่งริมแม่น้ำ ในพื้นที่แม่น้ำยม, น่าน และเจ้าพระยา ระยะเวลา 5 ปี วงเงิน 1.7 หมื่นล้านบาท

โมดูลที่ B1 การจัดทำผังการใช้ที่ดิน/การใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำ รวมทั้งการจัดทำพื้นที่ปิดล้อมชุมชนและเศรษฐกิจหลักพื้นที่ 17 ลุ่มน้ำ วงเงิน 1.2 หมื่นล้านบาท

โมดูลที่ B3 การปรับปรุงสภาพลำน้ำสายหลัก และการป้องกันการกัดเซาะตลิ่งพื้นที่ 17 ลุ่มน้ำ วงเงิน 5,000 ล้านบาท

 รวมงาน 5 โมดูล  เป็นเงิน 1.1 แสนล้านบาท  ต่อระยะเวลา 5 ปี

กิจการร่วมค้า ไอทีดี พาวเวอร์ ไชน่า เจวี เป็นบริษัทกิจการร่วมค้าไทย-จีน ประกอบด้วย 6 บริษัท
คือ ไอทีดี พาวเวอร์ ไชน่า เจวี
บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์
บริษัท พาวเวอร์ คอนสตรัคชั่น คอร์ปอเรชั่น ออฟ ไชน่า
บริษัท ไชน่า เก๋อโจวบ๋า กรุ๊ป
บริษัท ไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล วอเตอร์ แอนด์ พาวเวอร์ คอร์เปอเรชั่น
และบริษัท ปัญญา คอนซัลแตนท์


การที่มีบริษัทที่ปรึกษา อย่างบริษัทปัญญา คอนซัลท์ มาแจมด้วยเพราะอย่างนี้ครับ
สัญญาในโครงการนี้คือสัญญาแบบ Design-Build 
ซึ่งคนออกแบบ กับคนก่อสร้าง คือคนๆเดียวกัน
คือออกแบบไปด้วย ก่อสร้างสร้างไปด้วย   ทำแบบไปสร้างไป
ซึ่ง Deal นี้ผมให้ผลเป็นบวกในแง่ของกำไร  เพราะการทำการก่อสร้างแบบ Design-Build  
จะมีกำไรมหาศาลและไม่มีวันขาดทุน  เพราะอะไร

เพราะเมื่อเจอปัญหาอุปสรรคอะไร สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบ ได้เองตลอดเวลา
ซึ่งแน่นอนว่า ต้องเปลี่ยนให้ก่อสร้างได้ง่ายๆไว้ก่อน และเลือกรูปแบบการก่อสร้างที่ราคาถูกๆ
แทน  แต่ความเสี่ยงก็ยังคงมีอยู่

ค่าใช้จ่ายที่คาดไม่ถึงก็มี เช่นค่าเวนคืน กำหนดตายตัวไม่ได้ และ ต้องเวนคืนที่ดิน 4-5 หมื่นไร่ทีเดียว
แต่ความเสี่ยงก็จะถูกลดลงได้ จากการเปลี่ยนแบบด้วยเทคนิคการ Design-Build เพียงเล็กน้อย
เท่านั้นเอง

แนวฝั่งตะวันตกที่บริษัทออกแบบ จะขุดคลองใหม่ขนาดความกว้าง 120 เมตร มีถนนขนาด 4 ช่องจราจรขนาบอยู่ 2 ข้าง ความยาวประมาณ 400 กิโลเมตร ต้องเวนคืนพื้นที่ประมาณ 40,000-50,000 ไร่ ส่วนใหญ่ตัดผ่านที่นา และจำเป็นต้องรื้อย้ายบ้านเรือนเล็กน้อยกระจายตามจุดต่าง ๆ โดยเส้นทางจะรับน้ำจากพื้นที่เหนือ จ.นครสวรรค์ ไล่ลงมาพาดผ่าน จ.อุทัยธานี ชัยนาท สุพรรณบุรี อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี มาออกแม่น้ำแม่กลอง จ.สมุทรสาคร และลงอ่าวไทย

โครงการที่สองนี้ผมให้กำไรสุทธิเยอะหน่อย 10% ขึ้นไปเพราะเหตุผลข้างต้น
แต่ต้องรอไปก่อน 1-2 ปี เพื่อทำประชาพิจารณ์ให้แล้วเสร็จ




โครงการที่สาม    โมซัมบิคโปรเจ็ค

อิตาเลียนไทยประสบความสำเร็จในการประมูลงานที่ประเทศโมซัมบิค
จำนวนเงินมูลค่างาน 2 – 3 แสนล้านบาท
เป็นโครงการก่อสร้างทางรถไฟระยะทาง 500 กิโลเมตร และสร้างท่าเรือขนาดใหญ่






































ประเทศโมซัมบิค มีเมืองหลวงชื่อว่ากรุงมาปูโต (Maputo) เป็นเมืองหลวงและเมืองท่าสำคัญ
ในเมืองเดียวกัน ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศ
และมีเมืองท่าที่สำคัญอื่น ได้แก่ เมือง Beira, Nacala และ Quelimane

ปกติการก่อสร้างทางรถไฟ ถ้าหากจะให้มีกำไรเยอะ  ต้องอยู่ในพื้นที่ราบ
เพราะว่าสร้างง่ายกว่า ทางชันและทางภูเขา ซึ่งกำไรอาจจะหมดไปกับอุปสรรคที่จะเกิด
ในระหว่างก่อสร้าง

ซึ่งตามแหล่งข่าวก็ไม่ได้ระบุว่าสร้างทางรถไฟจากเมืองไหนไปเมืองไหน

แต่พอจะคาดได้ว่า ทางรถไฟ จะเชื่อมระหว่างเมืองสำคัญแน่นอน




ข้อมูลด้านงานรถไฟของบริษัท  ITD

อิตาเลียนไทยได้เป็นบริษัทฯ แรกที่เข้าดำเนินการในการสร้างทางรถไฟแบบรางคู่
โดยร่วมมือกับบริษัทโคจิเฟอร์ ซึ่งเชี่ยวชาญการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สำหรับการวางราง
และร่วมกันผลิตประแจสับหลีกคุณภาพสูงใช้ในประเทศ และส่งออกชิ้นส่วน

ไปยังประเทศฟิลิปปินส์, อียิปต์, อิสราเอล, อังกฤษ, นอร์เวย์ และฟินด์แลนด์
ส่งออกประแจครบชุดไปยังประเทศสิงคโปร์,มาเลเซีย,ฮ่องกง และไต้หวัน

บริษัทฯ มีโรงงานผลิตหมอนคอนกรีตชนิดพิเศษที่ใช้ในการวางรางรถไฟในประเทศ และส่งออกไปยังประเทศกัมพูชา และออสเตรเลีย ณ อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังรับติดตั้งรางรถไฟของระบบรถไฟฟ้าBTS  ซึ่งเป็นโครงการรถไฟลอยฟ้าโครงการแรกของประเทศไทย
งานวางรางรถไฟฟ้าของเมืองบังกาลอร์ประเทศอินเดีย และงานวางรางพร้อมระบบเครื่องกลไฟฟ้า




เมื่อดูจากสภาพภูมิประเทศ ทางตอนใต้จะเป็นที่ราบลุ่ม และทางตอนเหนือของประเทษโมซัีมบิค
จะเป็นภูเขา และจากระยะทาง 500 กิโลเมตร อาจจะเป็นทางรถไฟเชื่อมต่อเมืองหลวงอย่าง
กรุง Maputo  และเมือง Beira ก็ได้

ซึ่งก็จะเป็นเส้นทางรถไฟที่เป็นที่ราบ กำไรที่ได้รับคาดว่าจะดี
ส่วนอีกโครงการก่อสร้างอีกอันหนึ่ง นั้นก็คือ ท่าเรือขนาดใหญ่ ซึ่งก็เป็นโครงการที่ ITD
ถนัดช่ำชองยิ่งนัก



ข้อมูลด้านงานก่อสร้างท่าเรือของบริษัท  ITD

บริษัทฯ เป็นผู้นำในด้านงานรับเหมาก่อสร้างทางทะเล ไม่ว่าจะเป็นการขุดลอกร่องน้ำ  งานทำเขื่อนกันคลื่น  และการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก
ซึ่งบริษัทฯ มีความภาคภูมิใจที่จะกล่าวได้ว่า

เป็นบริษัทของคนไทยบริษัทแรกที่มีประสบการณ์ในด้านการก่อสร้างท่าเรือพานิชย์ขนาดใหญ่ของเมืองไทย
เพื่อรองรับโครงการพัฒนาชายฝั่งตะวันออก ซึ่งมีความสามารถในการขนถ่ายสินค้า
 และสามารถรองรับได้ทั้งเรือคอนเทนเนอร์  เรือภายในประเทศ  เรือสินค้าเกษตร และเรือบริการ  พร้อมติดตั้งระบบสาธารณูปโภคอย่างครบครัน


เนื่องจากในอดีตเคยก่อสร้างท่าเรือมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น
  -  ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง  จ. ชลบุรี
  -  ท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด  จ. ระยอง
  -  ก่อสร้างท่าเทียบเรือขนถ่าย LNG บาหลี

ดังนั้น สรุึปว่าโครงการ โมซัมบิคโปรเจ็ค  นี้น่าจะส่งผลบวกอย่างมากต่อ ITD

ซึ่งผมยังไม่ทราบรายละเอียดสัญญาว่ามีอายุกี่ปีและมีวิธีการจ่ายเงินอย่างไร
แต่ประมาณการคร่าวๆ โครงการระดับนี้ไม่น่าจะสร้างนานกว่า 3-4 ปี

คาดการณ์กำไรที่ 10% (ให้เยอะเพราะเป็นงานที่ถนัด ทำอยู่ประจำ มีโรงงานเป็นของตัวเอง)
ก็จะมีกำไรประมาณ 2.5 ถึง 3 หมื่นล้านบาท ในห้วงระยะเวลา 3-4 ปี

เฉลี่ยก็จะมีกำไรต่อปีอยู่ในช่วงประมาณ   6000 - 10000 ล้านบาท
คิดเป็นกำไรต่อหุ้น  1.43 - 2.38 บาท
ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ปี  2557 - 2559


เอาล่ะ มาถึงส่วนของวิเคราะห์รายได้และกำไรอนาคตกันบ้าง

                                                                                                                          หน่วย:ล้านบาท


















โครงการทวาย ผมไม่สามารถคิดรายได้และกำไรออกมาได้จริงๆจังๆนัก
จึงขอตั้งเป็นตัวเลขแบบว่า ใช้หลักการเดา ล้วนๆ จากพื้นฐานของการเป็นไปได้

โครงการจัดการน้ำผมให้รายได้และกำไรเป็นค่าเฉลี่ยต่อระยะเวลาตามสัญญา 5 ปี
เช่นเดียวกันกับโครงการก่อสร้างที่โมซัมบิค
ซึ่งตัวเลขเหล่านี้อาจจะปรับขึ้น หรือ ลดลงก็ได้ แต่คิดว่าไม่น่าจะหนีจากค่าเฉลี่ยเท่าไรนัก

จากข่าวในปีนี้ 2556  มีการคาดการณ์ว่า อิตาเลียนไทย จะมีรายได้ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
และจะเป็นกำไรอยู่ประมาณ 1.8 พันล้านบาท   คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 3%

ส่วนปี 2557-2559 (ไม่นับงานเก่าจากแบ๊คล็อกในมือ)
 ITD จะมีกำไร 1 หมื่นล้านบาท
มาจากโครงการที่ประเทศโมซัมบิค ซึ่งเป็นงานก่อสร้าง ทางรถไฟและท่าเรือที่บริษัทถนัด
คิดเป็นกำไร 2.38 บาทต่อหุ้น  แต่เมื่อพ้นหลังจากปี 2559 ไปแล้ว  ถ้าหากไม่มีงานใหม่ๆ
มูลค่าสูงเข้ามาเพิ่มเติม  กำไรต่อหุ้นจะลดลงเหลือเพียง 0.48 บาทต่อหุ้น

สรุป

อิตาเลียนไทย  มีงานในมือค่อนข้างมาก หลายแสนล้านบาท ในห้วงระยะเวลา 3-5 ปี นับจากนี้
ทั้งเป็นงานโครงการที่ควรมีกำไรและไม่ควรมีกำไรปะปนกันไป
แต่มูลค่าของงาน ที่มีความน่าจะเป็นว่า จะมีกำไรค่อนข้างดีนั้น มีมูลค่างานอยู่สูงทีเดียว
เมื่อหักลบกันแล้ว โอกาสกำไรก็จะมีสูงกว่า

โครงการที่อิตาเลียนไทยถนัดคือ งานถนน ทางรถไฟ  ท่าเรือและ สนามบิน
ซึ่ง งานถนน ท่าเรือและทางรถไฟ อิตาเลียนไทยก็ได้ทำแล้ว (โครงการจัดการน้ำ โครงการทวาย
และโครงการโมซัมบิค)
มีแนวโน้มมาก ที่จะได้งาน 2 ล้านล้านบาท ไม่มากก็น้อย
 ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าโครงการในบริษัทให้มากขึ้นอีก


ปัญหาอย่างแรก ซึ่งผมไม่ทราบว่าจริงไหม แต่ให้นักลงทุน ระมัดระวัง และฟังหูไว้หู

คือ ITD มีบริษัทที่ถือครองอยู่ บริหารแยก เพื่อสร้างความร่ำรวยส่วนตัว ให้แก่..................
คือ บริษัทอิ............  ว่ากันว่า ของจากต้นทุน 5 บาท ก็ขายราคา 10บาทได้
โดยไม่ต้องมีการต่อราคา เพื่อเอากำไรส่วนต่าง
ดังนั้น กำไรของ ITD ก็จะไม่มากอย่างที่ควรจะเป็น แต่ บริษัทอิ..... จะกำไรมากแทน

ปัญหาอย่างที่สองที่คาดว่าจะเิกิดคือเรื่องเงินทุน งานก่อสร้างมูลค่ามหาศาลนับแสนๆล้าน
หากไม่ได้รับเงินล่วงหน้า
 (โดยทั่วไป10-20% ของมูลค่าสัญญาโดย ITD ต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินล่วงหน้า นี้ไว้)

ซึ่งถ้าหากจะต้องกู้เงินเพิ่ม เพื่อมาดำเนินกิจการ กำไรที่คาดการณ์ไว้ ก็ต้องลดลงเป็นธรรมดา
แต่ถ้าโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่  มีการร่างในสัญญาว่ามีเงินล่วงหน้าจ่ายให้ก่อน
ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้สินต่อทุนเยอะได้ และโอกาสกำไรก็สูงขึ้น



ถ้ามีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเรื่องของ ITD ก็จะอัพเดทให้ต่อใน
หน้า Page ใน facebook  ก็แล้วกันนะครับ

สำหรับวันนี้ ขอลาไปก่อน  สวัสดีครับ













วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แนเชอรอล พาร์ค (N-PARK) ความหมายของแสงสว่างรำไรที่ต้นไม้ใหญ่ ??














หุ้นต่ำบาท หุ้นหลักสตางค์ มีหลายตัวในตลาดที่นักเก็งกำไรนิยมเล่นกัน
พร้อมความคาดหวังว่ากิจการจะกลับมามีกำไรและจะทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้น
สร้างผลกำไรมหาศาล แนเชอรอล พาร์ค  N-PARK ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ช่วงนี้กระแสหุ้น N-PARK นี้ กำลังมาแรงว่าจะกลับมาเทิร์นอะราวด์  มีกำไร
และให้ผลตอบแทนระดับที่ว่ากันเป็นพันเปอร์เซ็นต์ มีกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่
เข้ามาเทคโอเวอร์ เพราะข่าวที่ว่าจะกลับมามีกำไรหลักพันเปอร์เซ็นต์ในหุ้น
บางคนก็ว่าจะวิ่งกลับไปราคาพาร์ที่ 1 บาทจะเป็นไปได้หรือไม่   อย่างไร  
เราอดไม่ได้ที่จะต้องตามไปหาข้อมูลวิเคราะห์พื้นฐานกันหน่อยล่ะ


เนื่องจากข่าวหุ้น N Park มีทั้งข่าวจริงและเท็จ 
ผมขอวิเคราะห์ตามเอกสารที่ถูกรับรองก่อนนะครับ



N-PARK ทำอะไร ?
ปัจจุบัน มีธุรกิจเกี่ยวกับ อพาร์ทเมนท์ให้เช่าในทำเลที่มีชาวต่างชาตินิยมพักอาศัยสูง
อยู่แถวๆ ถ.สุขุมวิท 49  มีจำนวนห้องให้เช่า 81 ห้อง อาคารสูง 15 ชั้น 3 อาคาร
แต่ทำรายได้กว่า 77 ล้านบาทต่อปี (ค่าเช่าเดือนละแสนกว่าบาทต่อห้อง)
ซึ่งทำรายได้ค่อนข้างดี แต่น่าตกใจอพาร์ทเมนท์ดังกล่าวนี้ สัญญาเช่า 30 ปีจะหมดลงในปี2561
อีกแค่ 5 ปีข้างหน้า ก็ต้องมาลุ้นกันต่อว่า จะต่ออายุสัญญาได้หรือไม่
ส่วนโอกาสเติบโต จากธุรกิจอพาร์ทเมนท์ตัวนี้คิดว่าคงไม่มี และตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่าจะเป็นอย่างไร


รายได้ของการทำธุรกิจ(กิจกรรมดำเนินงาน) มีเท่านี้จริงๆครับ

ส่วนอีกธุรกิจหนึ่งที่มีแต่ไม่มีการบันทึกรายได้ คือธุรกิจร้านอาหาร Lenotre
เป็นเหมือนซื้อเฟรนไชส์มาจากร้านดังในฝรั่งเศษ สร้างชื่อมาจากขนมระดับตำนาน
ไฮเอนด์ โด่งดังระดับโลก 

ปัจจุบันมีทั้งหมด 2 สาขา ที่สยามพารากอน และ ที่ชั้น1 อาคารเนเจอรอลพาร์ค
ซอยหลังสวน 

ไม่รู้ว่าอร่อยไหม เพราะยังไม่เคยไปชิม แต่ด้วยจำนวนสาขาที่น้อยก็ยังคงคาดหวังรายได้มาหล่อเลี้ยงบริษัทที่จะต้อง
ลงทุนเพิ่มจำนวนมากไม่ไหว 

ส่วนการที่ไม่นำมาคิดรายได้นั้นอาจเป็นเพราะว่าให้กลุ่ม แอคคอร์ มาบริหารงานแทน



อย่างที่ทราบ N-PARK มีขาดทุนสะสมเกือบๆ 8,000 ล้านบาท จึงไม่สามารถจะจ่ายปันผลได้ง่ายๆ
และรายได้จากการดำเนินงานที่มีเพียง อพาร์ทเมนท์ ปีละประมาณ 80 ล้าน
แห่งเดียวนี้คงจะไม่พอ ชดใช้หนี้สินที่พกมาจากอดีตปี 2540 พร้อมคดีความฟ้องร้องเรื่องเงินอีกมากมาย

การจะทำธุรกิจเพิ่มเติมนั้น มันต้องใช้เงิน ว่าแล้ว N-PARK ก็จัดการหาเงินซะใหม่
โดย
 ขายหุ้นเพิ่มทุน 6 หมื่นกว่าล้านหุ้น ได้เงินมา ประมาณ 1,500 ล้านบาท
 ขายส่วนของเจ้าของ ในเครือโรงแรมสยามคาร์ปินสกี้ 338 ล้านบาท
รวมกับการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่
ได้เงินมาบันทึกเป็นกำไร(ที่จับต้องเป็นเงินไม่ได้) เป็นกำไรทางอากาศจำนวน 321  ล้านบาท



N-PARK ทำอะไรใหม่ๆบ้าง ??

หลังจากระดมทุนมามีเงินสดในมือแล้ว ก็ถึงเวลาต้องขยับขยายกิจการเพื่อใช้หนี้
ล้างขาดทุนสะสมให้หมดไปซะ เพื่อจะได้มีปันผลมาจ่ายผู้ถือหุ้นต่อไป มีหลายDeal
เกิดขึ้นค่อยๆไล่ไปทีละดีล ดังนี้ครับ


Deal ที่ 1 : ซื้อกิจการโรงแรม
จากการหาข้อมูลพบว่า N-PARK เพิ่งเทคโอเวอร์โรงแรมที่จังหวัดขอนแก่นมีนามว่า
โรงแรมเซ็นทาราแอนด์คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ จังหวัดขอนแก่น เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานี่เองครับ
ด้วยเม็ดเงินกว่า 800 ล้านบาท

ด้วยการคาดการณ์ว่า จะมีการจัดประชุมสัมมนามากขึ้นในอนาคต ซึ่งโรงแรมนี้มีห้องประชุมจุคน
ได้มากถึง 3700 คน 
แต่มันน่าจะดีกว่านี้ ถ้าได้จัดประชุมด้วยเข้าพักในโรงแรมด้วย แต่โรงแรมกลับมี
ห้องพักน้อยนิด 196 ห้องรองรับแขกที่มาสัมมนาไม่พอแน่ 
รายได้มันก็จะได้ขาเดียวไม่ส่งเสริมกันสองขา

ตามที่เจ้าของเดิมขายกิจการโรงแรมนี้ให้นั้น เค้าใช้เงินซื้อตึกเก่ามาปรับปรุง
แต่เดิมใช้เงินลงทุนไปกว่าสองพันล้านบาทกับระยะเวลาการก่อสร้างอีกหลายปี 
แต่จำใจยอมขายเพราะแบกภาระดอกเบี้ยไม่ไหว ซึ่งมีทั้งดอกเบี้ยในและนอกระบบ

แต่ Deal การซื้อกิจการโรงแรมนี้ เป็น Deal ที่ผมให้ผลบวกเป็นอย่างมากด้วยเหตุผลสองสามประการ
เหตุผลข้อที่หนึ่ง N-PARK ใช้เงินน้อยกว่าครึ่งนึง ซื้อได้ราคาถูกมากๆ อย่างที่ไม่ควรจะเชื่อ
แค่ 800 ล้านบาท

ละ เหตุผลข้อที่สอง การที่สามารถดำเนินกิจการต่อได้ทันที มีการรับรู้รายได้
อย่างทันใจ ถือเป็นประโยชน์ 2 เด้ง

 ว่ากันว่าธุรกิจโรงแรมนั้นคืนทุนแน่นอนแต่ว่าช้าหน่อย 

การที่ดอกเบี้ยมากเกินไปและรอคืนทุนไม่ไหว เจ้าของเดิมก็เลยต้องจำใจปล่อยออกมาราคาเซลล์กระหน่ำแบบนี้

สำหรับธุรกิจ N-PARK ซื้อมาแต่โรงแรม การบริหารยังปล่อยให้ กลุ่มเซ็นทาราดูแลต่อไปอีก 15 ปี
ซึ่งก็เป็นส่วนดีเพราะ กลุ่มเซ็นทารา น่าจะชำนาญกว่า N-PARK ในธุรกิจบริหารโรงแรม
ให้ได้ดีมีกำไร 




Deal ที่ 2 : ซื้อคืนที่ดินบางกระเจ้า 300 ไร่

ทำการไถ่คืนที่ดินที่ติดแบงค์กรุงไทย แถวบางกระเจ้า อ.พระประแดง
จ.สมุทรปราการ  จำนวน 300 ไร่ ในราคาประมาณ 500 ล้านบาท
ซึ่งราคาเพิ่มมา 10 เท่าในช่วงที่ผ่านมา
เนื่องจากสมัยโบราณราคาที่ดินยังไม่แพงมาก
ข่าวว่าราคาที่ดินเพิ่มขึ้นจากไร่ละ 2 ล้าน กลายเป็นไร่ละ 20 ล้าน
Deal นี้ผมให้คะแนนเป็นบวกมากๆ สามารถหวังผลได้เลย

เคยมีคนบอกว่า N-PARK แค่ขายที่ดินก็ล้างขาดทุนสะสมหมดแล้ว..

มันไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิครับ

เพราะข่าวไม่ยอมบอกว่าที่ดิน 300 ไร่นี้ เป็นพื้นที่ที่เป็นสระน้ำ ทำอะไรไม่ได้ไป
ประมาณ 100 ไร่ (1ใน 3) ของที่ดินทั้งหมด ถ้าจะขายที่ดินที่เป็นน้ำ
รับรองไม่ใช่ไร่ละ 20ล้านแน่ๆ อาจเหลือเพียง 2 แสนต่อไร่
และในรายงานจะพบว่าที่ดินนี้เหลือเพียง 192 ไร่ 3 งาน มีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง
แสดงว่าเดิมทีก็มีที่ดินไม่ถึง 300 ไร่อยู่แล้ว 
คาดว่าข่าวน่าจะเขียนเชียร์หุ้นให้ดูเยอะไว้ก่อน
สรุปเหลือที่ดินใช้ประโยชน์ได้ประมาณ 93 ไร่

Deal ที่ 2.1 : ขายที่ดินบางกระเจ้า 30 ไร่

พอที่ดินมีกำรี้กำไรมากมาย จึงจำเป็นต้องแบ่งขายไปซะบ้าง เพื่อหาเงินมาทำทุนต่อ
เลยทำการขายไปเบาๆ 30 ไร่ ได้เงินมาประมาณ 500 ล้านบาท แต่เอ้ะ!!  ถ้าไร่ละ
20 ล้าน ขายที่ดิน 30 ไร่ น่าจะได้เงิน 600 ล้านบาทสิ ?
มองได้สองแบบ 1. ขายแบบลดราคาให้ รีบใช้เงินไปทำทุน
                           2. ราคาประเมินมีโอกาสที่จะราคาไม่ถึง ไร่ละ 20 ล้าน ตามข่าวที่เชียร์หุ้น

Deal ที่ 2.2 : โครงการบ้านจัดสรร ระดับไฮเอนด์

จากที่ดินของบริษัท 192 ไร่ 3 งาน
สรุปเหลือที่ดินใช้ประโยชน์ได้ประมาณ 93 ไร่
ที่ดินที่เหลือนี้จะนำมาพัฒนาเป็นโครงการบ้านจัดสรร ระดับหรู ราคาขายที่หลังละ
70 - 100 ล้านบาทเลยทีเดียว มูลค่าโครงการประมาณ 3-4 พันล้านบาท
การที่ทำเป็นบ้านหรู แน่ละเพราะมีทะเลสาป รอบๆหมู่บ้านอยู่แล้ว
ผมมองว่า Deal นี้ถ้ารวยก็รวยไปเลย แต่ถ้าขายไม่ออกก็ น่ากังวลไม่น้อย
อยู่ที่กึ๋นผู้บริหารแล้วล่ะว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ทุนจม จะสร้างเสร็จก่อนขาย
หรือว่าขายก่อนค่อยสร้าง 
















Deal ที่ 3 : โครงการคอนโดมิเนียม ถนนรามอินทรา กม.2

จากข่าว จะเป็นโลว์ไรซ์สูง 8 ชั้น บนที่ดินเนื้อที่  2.5 ไร่ 
มีจำนวน unit ประมาณ 100 ห้อง
ราคาขายประมาณตารางเมตรละ 5-6 หมื่นบาท มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท
ข้อดีที่ผมให้มุมมองเป็นบวกคือ สร้างบนที่ดินเดิมที่มีอยู่แล้วของบริษัท
ส่วนทำเลนั้นอยู่ตรงนั้นก็ถือว่าเป็นช่วงต้นๆถนนรามอินทรา และจะมีรถไฟฟ้าสายสีชมพูผ่าน
ข้อเสีย คือ ธุรกิจสร้างคอนโดมิเนียมขาย ปัจจุบันแข่งขันกันสูงมาก โอกาสจะขายหมด
เร็วๆ ปิดโครงการเลยนั้นมีน้อยมากและ ใช้ระยะเวลาการก่อสร้างนาน
กว่าจะรับรู้รายได้จากยอดโอน  อย่างน้อยก็อีก 24 เดือนจากนี้ไป




Deal ที่ 4 : โครงการอามันปุรี รีสอร์ท. ถนนเจริญกรุง 36

โรงแรมทีืพักในเครืออามันปุรี ระดับห้าดาวจะมีห้องพัก 35 ห้อง บนที่ดินเช่าราชพัสดุ
 เดิมทีเป็นที่ดินของกรมภาษีร้อยชักสาม ในสมัยโบราณ โดยจะสร้างโรงแรมย้อนยุคๆ
ให้เข้ากับสถาปัตยกรรมเดิมที่งดงามอยู่แล้ว

เช่าที่ดินดำเนินการ 30 ปี เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ โดยปัจจุบันยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างเลย
เนื่องจากติดปัญหาการย้ายออกของ ตำรวจดับเพลิงในที่ดินนั้น ตอนนี้เวลาเช่าผ่านมาจะสิบปีแล้ว
เริ่มปี 2548 ปัจจุบัน 2556

ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากหนังสือสงวนสิทธิ์เช่า ย้อนหลัง
Deal นี้ผมให้เป็นลบเพราะค่าเช่าที่ดินไม่สมเหตุสมผล ทำไปเห็นแววล้มตั้งแต่ไม่เริ่ม
อัตราเช่าที่ดิน 5 ไร่ เป็นดังนี้
    ปีที่  1 -  ปีที่ 11     อัตราค่าเช่าที่ดิน     3.3     ล้านบาทต่อปี
    ปีที่ 12 - ปีที่ 16     อัตราค่าเช่าที่ดิน     30      ล้านบาทต่อปี
    ปีที่ 17 - ปีที่  20    อัตราค่าเช่าที่ดิน     40      ล้านบาทต่อปี
    ปีที่ 21 -  ปีที่ 30    อัตราค่าเช่าที่ดิน     100     ล้านบาทต่อปี

รวมค่าเช่าที่ดิน 5 ไร่ เท่ากับ 1,346 ล้านบาท ในเวลา 30 ปี
โอ้วว ยังไม่รวมค่าก่อสร้างกับค่าบริหารงาน กับจำนวนห้องพัก 35 ห้อง
ใครที่หาค่า Feasibility ของโครงการเป็น คงจะกุมขมับทีเดียว
ตัวเลข NPV. , IRR คงติดลบมหาศาล
คิดเลขอย่างไรก็ไม่คุ้ม ยกเว้นราคาห้องพักจะแพงแสนแพงและต้องเกือบเต็มตลอดทั้งปี

Deal ที่ 5 : ซื้อหุ้นบริษัทพรอสเพค ดีวีลอปเมนท์

ซึ่งทำเกี่ยวกับธุรกิจให้เช่าพื้นที่เก็บสินค้า พื้นที่รวม 692 ไร่ 
 N-PARK ซื้อหุ้นไปจำนวน 7% คิดเป็นเงิน
86 ล้านบาท รายได้น่าจะออกมาในรูปเงินปันผลมากกว่า
หรือไม่แน่อาจกำลังหาวิธีครอบงำที่ดินผืนใหญ่นี้อยู่ก็ได้ โดยใช้เงิน
ไม่ถึงร้อยล้าน 555+ อันนี้ผมล้อเล่นนะครับ
มีพื้นที่เช่า ปัจจุบัน 83,000 ตารางเมตร ในอัตราตารางเมตรละ 200 บาท
น่าจะเป็นเรตต่อเดือน นะครับ 200 บาทต่อปี น่าจะถูกไป


ประมาณการรายรับที่จะเกิดขึ้นจากการเพิ่มทุน

ผมลองประมาณการรายได้ของบริษัท จากโครงการต่างๆที่กำลังจะเกิดขึ้น
ทั้งในปัจจุบัน และที่จะแล้วเสร็จ ในอนาคต ว่าจะเป็นอย่างไร
บางโครงการก็จะมีรายได้ เข้ามาตลอด
บางโครงการก็จะมีรายได้เข้ามาครั้งเดียว 
ตัวเลขที่ใช้ก็ใช้วิธีการคาดเดา แบบเป็นกลาง ซึ่งอาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่า
การประมาณการณ์ของผมก็ได้  ที่ทำแบบนี้เพื่อให้เห็นภาพรวม
ทางงบการเงิน เพื่อหามูลค่าของกิจการที่เหมาะสมในอนาคต
เป็นดังรูปด้านล่าง

เงินลงทุน บางโครงการก็ลงทุนแล้ว บางโครงการก็ยังไม่ลงทุน ดูแล้วยังต้องใช้เงินลงทุนอีกมาก
หากคิดจะล้างขาดทุนสะสมจริงๆ
ที่แน่ๆสิ้นปีนี้ N-PARK มียอดรอเคลียร์หนี้สิน 200 บาท นอนโบกมือรออยู่ปลายปี 56

Deal 2 กับ Deal 2.1 เอา 500 หักลบกลบหนี้กันไปนะครับ ไม่นำมาคิด

ดังนั้น สิ้นปี 2556 บริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินงานเกิดขึ้นประมาณ   80 ล้านบาท
ไม่รวมกำไรจากการปรับลดหนี้สิน ประนอมหนี้สินนะครับ ซึ่งคาดว่าจะมีเข้ามาอีกเป็นระยะ
เหมือนปีที่แล้วที่ได้มา 300 กว่าล้านบาท

สิ้นปี 2557 บริษัทจะมีกำไรประมาณ  287 ล้าน
เพิ่มขึ้นราวๆ 200 ล้านบาท อันเนื่องมาจากโครงการบ้านเดี่ยวไฮเอนด์ล้วนๆ

(โครงการนี้มีบ้านประมาณ 30-40 unit บนพื้นที่ 93  ไร่ ผมประเมินอายุโครงการไว้ที่ 3 ปี
หารเฉลี่ยกำไรซึ่งมูลค่ารวมโครงการประมาณ 3-4 พันล้านผมให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 20%
ของมูลค่าโครงการก็จะมีกำไรประมาณ 600 - 800 ล้านบาท หารเฉลี่ยสามปี ก็จะตกที่
ตัวเลขกำไรประมาณ 200 - 400 ล้านบาทต่อปี )

ส่วน Deal ที่ 4 ไม่สามารถาดการณ์รายได้ได้ ขอข้ามไปก่อนนะครับ ยังมีปัญหาฟ้องร้องกันอยู่
กับกรมธนารักษ์

กำไรต่อหุ้นในปี 56 ไม่นับกำไรทางบัญชี กำไรพิเศษต่างๆ นับเฉพาะกำไรจากการดำเนินงาน
เพียงอย่างเดียว

80 / 180,637,000,000  =  0.00044   บาท ต่อ หุ้น

กำไรต่อหุ้นในปี 57 ไม่นับกำไรทางบัญชี กำไรพิเศษต่างๆ นับเฉพาะกำไรจากการดำเนินงาน
เพียงอย่างเดียว

287 / 180,637,000,000  =  0.00150   บาท ต่อ หุ้น

ราคาหุ้นปัจจุบัน  0.09  บาท
คิด  PE จากการดำเนินงาน
PE ปี 56  = 204
PE ปี 57 =  60

สรุป 1
จากกิจกรรมที่ดำเนินงานในปัจจุบัน ยังไม่สามารถมีกำไรมากพอที่จะ ลดบัญชีขาดทุนสะสมเพื่อล้าง
ขาดทุนสะสมได้ในเร็ววันนี้  แต่หากมีการขายทรัพย์สินบางอย่าง ออกไปบ้าง ก็อาจจะพอมีลุ้นเพิ่ม
อนาคตบริษัทคงต้องหาธุรกิจทำเพิ่มเติมจากปัจจุบัน เพื่อให้เกิดรายได้มากกว่านี้
อีกหลายโครงการ  ซึ่งช่วงนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นจังหวะที่ดีหรือไม่ต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
เนื่องจากมีผู้เล่นหลายรายในตลาด

สรุป  2
บริษัทมักมีกำไรพิเศษ บันทึกทางบัญชี ซึ่งผมไม่ให้น้ำหนักความสำคัญ
ตรงจุดนี้มากนักแม้มันจะทำให้ดูดีในงบการเงินก็ตาม
เน้นดูธุรกิจและกิจการ ที่จะสร้างผลประโยชน์อย่างไรมากกว่า



แสงสว่างรำไร ที่เห็นที่ต้นไม้ใหญ่   ??
ที่เห็น คืออะไร ....




หากใครดูผลประกอบการ ของกิจการตามรูปภาพด้านบน ตรงที่ผมวงกลมไว้ต้องอุทานแน่ๆ
หุ้นเทพ หุ้นเทิร์นอะราวด์ พลิกขาดทุนเป็นกำไร  แถมยังกำไรมา สองปีติดต่อกัน

ROE ระดับ  71%  นี่มัน  ADVANC ชัดๆ
อัตรากำไรสุทธิ 57 % นี่เป็นบริษัทเหนือคำบรรยาย

เมื่อค้นลึกลงไป ในภาพนี้ และดูในสิ่งที่ผมวงกลมไว้



รายได้อื่น(กำไรพิเศษ ,ปรับสภาพหนี้) มากกว่ายอดขายสุทธิ. ที่มาจากการดำเนินงานปกติ
เมื่อคิดการดำเนินการปกติ จะกำไรขั้นต้นเพียง 9.43 ล้านบาทในไตรมาสแรก ปี56
(23.33 - 13.90 = 9.43 )

ภาพอันสวยงามเมื่อกี้ถูกลบล้างไปหมด

ตอนนี้ N-PARK ยังไม่แปลงร่าง แต่อนาคต สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง
จะถือทิ้งไว้ นานแสนนานก็ไม่แน่จะแปลงร่างให้เราเห็นได้ แต่คงไม่ใช่เร็วๆนี้
การสร้างบ้านแปลงเมืองต้องใช้เวลา ส่วนที่ราคาเปลี่ยนแปลงรวดเร็วนั้นอยู่ที่อารมณ์
นักลงทุน  ที่ส่วนใหญ่ก็เข้ามาเก็งกำไรขึ้น ลง  1 ช่อง ได้เสียกันเป็นสิบเปอร์เซ็นต์
ส่วนใครที่มีหุ้นตัวนี้แล้วก็ขอให้โชคดีครับ