จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หุ้น"M" IPO ตัวใหม่ ไม่พูดถึงไม่ได้ สุขอยู่ที่ใด MK สุกี้





เอ็มเค สุกี้ เป็นร้านสุกี้ ที่มีมาในเมื่องไทยมาช้านาน เคยอ่านประวัติคร่าวๆ เกิดจากการฟลุ๊คโชคดี
ได้พื้นที่ร้านค้าให้เช่า ที่หลุดจากการเช่าของคนอื่นมา ทำให้ได้ขายภายในห้างสรรพสินค้า
ประมาณว่า มีคนมาขอให้ไปขายแทนอีกเจ้าหนึ่งที่ไม่มาเช่าที่แล้ว
เกิดปรากฏการณ์ขายดีเทน้ำเทท่า พัฒนาสูตรน้ำจิ้มเป็นของตนเอง จนขายดีไปทั้งประเทศ มีสาขากว่า 330 สาขา ในปัจจุบัน

จุดเด่นอยู่ที่รสชาติและการบริการ ราคาก็นับว่าสมน้ำสมเนื้อกับคุณภาพและคุณค่าอาหารที่ได้รับ
ผักของ เอ็มเค จะสด เขียวและน่าทานมาก เวลาเคี้ยวจะได้กลิ่นความสดของผัก หอมขึ้นจมูก
เนื้อสัตว์ก็ใช้เนื้อสัตว์คุณภาพ เป็นเนื้อส่วนที่มีไขมันน้อย และผ่านการหมักเครื่องปรุงอย่างดี
ส่วนบริเวณร้านก็สะอาดมาก สะอาดเหมือนภัตาคารหรูในโรงแรม และไม่เคยพบแมลงในร้าน
การบริหารจัดการ ก็ดีเยี่ยมพนักงานเก็บกวาดโต๊ะรวดเร็ว มีการใช้เครื่องมือคล้ายๆแท็บเล็ตรับออเดอร์
ลูกค้า เวลาลูกค้านั่งรอในช่วงเวลาพีค ก็บริหารจัดการคิวได้อย่างดีเยี่ยม



นอกจากจะขายสุกี้แล้ว ทีเด็ดยังอยู่ที่ติ่มซำ และของทานเล่น เช่น เป็ดย่าง หมูแดง เป็นต้น
ส่วนแบ่งทางการตลาดนับว่าดีเยี่ยม แม้ภายหลังจะลดลงไปบ้าง เนื่องจากการเข้ามาของกลุ่มทุนร้านอาหาร เช่น Hotpot , Shabushi ก็มีสไตล์ต้มๆ จุ่มๆ คล้ายๆกัน
แต่ กลุ่มลูกค้าน่าจะเป็นวัยรุ่น  วัยทำงานตอนต้นมากกว่า เพราะเป็นการทานแบบบุฟเฟต์
กลุ่มลูกค้าเอ็มเค สุกี้ น่าจะเป็นผู้สูงอายุและวันทำงานตอนปลาย
อนาคต ผู้สูงอายุในประเทศไทย แนวโน้มมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงเทรนด์ในการรักษาสุขภาพ กำลังมาแรง
เป็นเหตุให้แนวโน้มของ เอ็มเค สุกี้ ก็คงจะดีขึ้น เติบโตตามปริมาณผู้สูงอายุและเทรนด์รักษาสุขภาพ

หลังจากศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม จึงได้ทราบว่าอาหารถูกปรุงขึ้นที่โรงครัวขนาดใหญ่แล้วจึงจัดส่งไปตามสาขาต่างๆ 330 กว่าสาขา
สมัยก่อนเคยเข้าใจว่าอาหารปรุงที่ร้านก็คงคาดการณ์ผิด เพราะคงเป็นการยากมากๆ ที่จะควบคุมคุณภาพ รสชาติอาหารให้เหมือนๆกันทุกที่ ทุกสาขา
ส่วนสูตรการปรุงอาหารต่างๆก็คาดว่าน่าจะเป็นความลับพอสมควร

เอ็มเค สุกี้ มีการเติบโตต่อเนื่องตามจำนวนสาขา ที่เพิ่มขึ้น
แต่ อย่างที่บอกยักษ์ใหญ่ที่โตเต็มที่แล้ว อัตราการเติบโตนั้นจะช้าลง
ใครจะคิดว่าร้านอาหาร ขายสุกี้ จะมียอดขายถึง หมื่นล้านบาทต่อปี
ปัจจุบันคาดการณ์ว่าจะมียอดขายเติบโตประมาณ 10-12 % ต่อปีเท่านั้น
ดูแล้วโตช้า ไม่ค่อยโต ธุรกิจเริ่มมาถึงจุดอิ่มตัว แต่ เอ็มเค ก็มีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย
นั่นคือ ร้านยาโยอิ



เดิมทีพระเอกขี่ม้าขาวตัวนี้ น่าจะเป็นดาวร้าย เมื่อมันทำให้เกิดผลประกอบการที่ขาดทุน
แต่ เนื่องจากธุรกิจร้านอาหารน่าจะเป็นสิ่งที่เจ้าของนั้นถนัด ปรับปรุง และพัฒนาสูตรจนตอนนี้ร้าน
อาหารญี่ปุ่นยาโยอินั้นก็กลับมาติดตลาดได้รับการยอมรับสูงแบบก้าวกระโดด

เดิมทีเมื่อตอนเปิดใหม่ๆผมเคยไปทานร้านยาโยอิ เมื่อทานเสร็จก็บอกกับคนรอบข้างว่า
เปิดมาได้อย่างไร ขายราคาถูกก็จริงแต่ก็ไม่ได้ถูกมากมาย เพิ่มเงินอีกนิดหน่อยไปกิน ฟูจิ หรือ เซ็น ดีกว่า
แต่ล่าสุดที่ผมได้พบกับการเปลี่ยนแปลง ยาโยอิพัฒนาจากวันนั้นไปมาก ลยคำสบประมาทที่ผมเคย
กล่าวไว้อย่างหมดสิ้น และก็กลายเป็นชัยชนะอันสวยงาม ที่รอผู้ถือหุ้นเข้าไปค้นหาและสัมผัส
ดูได้จากงบการเงินล่าสุด  


ร้านสุกี้ รายได้เติบโตประมาณ 12 % ต่อปี
ส่วนร้านยาโยอิ พระเอก!!  รายได้เติบโต 30% ในปี '53 ไปปี '54 และ เติบโตเกือบ 60% ในปี '54 ไปปี '55
นั่นทำให้ MK กรุ้ป มียอดการเติบโตรวม เกือบๆ 17.5%

( 0.12 x 85.7 ) + (0.60 x 12.1) = 17.5 %

รายได้จากการขาย ปี 2555

(12987 - 10708) / 12987  = 17.5 %

ส่วนกำไรนั้นก็มีการเติบโตที่ถือว่าค่อนข้างดีจนน่าประทับใจ

ปี 2555 กำไรเพิ่มขึ้น 20% จากปีที่ผ่านมา เพิ่มเป็น 2041 ล้านบาท จาก 1618 ล้านบาทในปี 2554



ประเด็นที่เราจะมองเพื่อปรับการมองโลกในแง่ดีเกินไป เรามาดู FACT อื่นๆกันบ้าง
หลังจากที่ทุกอย่างของหุ้นตัวนี้ดูดีไปหมด

ข้อที่ 1  ปัญหาที่ร้าน ยาโยอิ เป็นร้านที่ MK กรุ๊ปซื้อเฟรนไชส์มาจากต่างประเทศที่ญี่ปุ่นและมีระยะเวลาอายุสัญญาเพียงแค่ 3 ปี  หมายความว่า ทุกๆ3ปี ต้องต่อสัญญาเสมอ หากมีปีไหนมีปัญหาและทะเลาะกันขึ้นมา ก็ค่อนข้างกระืทบพอสมควร กับการที่กำลังโตขยายตัวอย่างก้าวกระโดดของร้านค้านี้

ข้อที่ 2  การเปิด AEC หาก MKG จะเติบโตไปขยายปีกไปต่างแดนนั้น ซึ่งแทบจะไม่มีสาขาของร้านสุกี้อยู่เลยนั้นดูแล้วเป็นไปได้แต่ยาก
เนื่องจาก 1. การที่ดำเนินธุรกิจที่มีครัวกลางอยู่ในไทยนั้น การจะนำอาหารไปส่งถึงร้านที่ต่างประเทศนั้น ต้นทุนและวิธีการขนส่งอาจจะมีปัญหามากมาย  แต่ถ้าผู้บริหารคิดวิธีการแก้ไขได้และคิดตกผลึกออกมาได้ดีหุ้นตัวนี้จะเป็น Super Stock ได้ไม่ยาก เพราะราคาที่ขายในต่างประเทศจะต้องสูงและเพิ่มยอดขายและกำไรได้มากกว่าการขายในประเทศแน่นอน
             2. รสชาติอาหารที่ถูกปากคนไทยนั้น อาจจะไม่เป็นที่ถูกใจของชาวต่างชาติได้ ตามที่เราพบเห็นร้านอาหารไทยในต่างๆประเทศ เราแทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่มันอาหารไทยจริงๆหรือ ทำไมจืดสนิทเช่นนี้ เพราะถ้าทำขาย เผ็ดๆ ชาวต่างชาติคงไม่ชอบทานและร้านก็คงจะขายไม่ออกแน่ๆ

ข้อที่ 3 เงินที่ได้จากการระดมทุน นอกจากจะขยายครัวกลางใหม่ประมาณ 1000 ล้านบาทแล้วนั้น ยังนำไปสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ ซึ่งผมคิดว่า ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเท่าไหร่นัก แต่เจ้าของคงอยากจะมี ด้วยมูลค่าถึง 320 ล้านบาท  ซึ่งจะมีศูนย์ฝึกอบรมพนักงาน

เมื่อพิจารณาทุกอย่างๆรอบคอบอีกครั้งนั้น ก็เกิดมุมมองในแง่ดี ที่ผู้บริหารมองเห็นความสำคัญถึงสิ่งอื่นๆนอกเหนือจากรสชาติและร้านอาหาร นั่นคือ บุคลากรของร้าน ที่ต้องผ่านการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี
และคงจะพัฒนา MK กรุ๊ปในระยะยาว ต่อเนื่องไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน

เรามารอดูกันต่อไปนะครับ

ไม่แน่ในอนาคต เราอาจจะได้เห็นร้านอาหารแนวอื่น เติบโตมาในตลาดก็ได้
เนื่องจากความพร้อมทั้งเงินทุน และความรู้ ที่สั่งสมมากว่า 30 ปี ของผู้บริหาร



1 ความคิดเห็น: