จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วิวัฒนาการสู่โลกอารยธรรม Mega Trend ตอนที่ 1: พบกับวงซิมโฟนี่ออเคสตร้า(SYMC) ดนตรีเพลงบรรเลงบนโลก IT





อาจารย์ที่ผมเคารพรักท่านหนึ่ง (แม้นว่า ท่านไม่ได้สอนผมโดยตรง แต่ผมก็นับถือท่านประดุจอาจารย์อา)
ได้ให้มุมมองในเรื่องหนึ่ง จากหลายๆเรื่องของเมกะเทรนด์ไว้ว่า
"ในอนาคต ผู้คนจะขาดคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ไม่ได้"

นั่น คือ สิ่งจำเป็นของมนุษย์ เทียบได้กับปัจจัย 4  ซึ่งในทุกวันนี้วิชาเรียนตอนชั้นประถม
ของผมคงต้องเปลี่ยนแปรไป เมื่อปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตอาจจะปาเข้าไปถึง 7-8 ปัจจัยแล้ว
บางคนก็เพิ่ม รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์และก็อินเตอร์เน็ตเข้าไปเป็นปัจจัยเสริม

และแล้ว ก็เป็นสิ่งธรรมดาในโลกของธุรกิจ การค้า ก็จะหาทางทำมาหากิน ดูดทรัพย์กับสิ่งเหล่านี้     เพราะเมื่อมี Demand ก็ต้องมี Supply ที่ใดมี Supply ที่นั่น ก็ต้องมี เงินตรา

ในเมื่อคอมพิวเตอร์นั้นราคาขาย นับวันมีแต่ถูกลงๆ ไม่น่าสนใจอีกต่อไป
เราก็มาดูในกลุ่มผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตกันดีกว่า





































เปิดค้นคว้าหาในอินเตอร์เน็ตไป-มา จนมาเจอสิ่งนี้เข้า  กลุ่มหุ้นในธุรกิจ ICT
โจทย์จากอาจารย์ที่เคารพของผม
 -  ให้เลือกหุ้นจากกลุ่ม เล็กและกลาง (SmallCap , MediumCap)  ต่ำกว่า 5000 ล้านบาท
 -  เป็นกิจการที่ดี อยู่ในกลุ่ม Mega Trend
 -  เจ้าของกิจการเป็น CEO เอง บริหารงานเอง
 -  PE ไม่เกิน 8 ก็จะดี (ไม่มีเลยกลุ่มนี้ ของดีมักจะแพง ) บางคนบอกทำไมไม่เอา SYNEX กับ MSC

 คำตอบ SYNEX ขายอุปกรณ์คอมฯ ไม่ใช่ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ขายของแบบนี้มันเหนื่อยมาก กว่าจะได้ขาย และคู่แข่งเยอะมากๆ  MSC  ก็ขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เหมือนกัน แต่มีซอฟแวร์ด้วย แค่ฟังก็เหนื่อยแล้ว การละเมิดลิขสิทธิ์ในบ้านเรามันแพร่หลายเกินไป

 - ROE ราวๆ 20%   อ่าาา ROE ได้ 18 น่ะ หยวนๆไปนะ
 - เลือกมาสักตัวก่อน  SYMC
             
  SYMC ทำอะไรหนอ เราไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย หรือขายซิมการ์ดมือถือนะ? ลองเข้าไปดู
ข้อมูลใน www.settrade.com ดีกว่า เปิดมาก็เจอรูปนี้.......

















อืมมมม ทำเสียงดังในลำคอยาวๆ  หล่อนะเนี้ยะ ...  นี่ใช่ เคน ภูภูมิ รึเปล่า ....
หนี้สินน้อย 350 ล้านเอง ส่วนของเจ้าของเยอะมาก 1250 ล้านบาท ที่สำคัญกำไรทุกปี แบบนี้น่าคบ
เป็นหุ้นส่วนธุรกิจด้วย

สัดส่วนของอัตรากำไรสุทธิก็เท่ห์ไม่หยอก 23 %  ขายของ 100 บาท กำไรสุทธิ 23 บาท ไม่เลวๆ
แต่เอ๊ะ .. ทำไมลดลงๆ ทุกปีๆ ละนั่น  ลดลงจาก 34 % มาเรื่อยๆทุกปีๆ จนเหลือ 23 % ในปีนี้ได้
แม้อัตรากำไรจะลดลง แต่ตัวมูลค่าเงิน มันเพิ่มขึ้น ก็หยวนได้นะ

มาวิเคราะห์แบบสไตล์ธรรมชาติๆกันดีกว่า
ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น  แจ้งเกิดจากการได้สัมปทานกิจการโทรคมนาคม 15 ปี
นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ก็จะไปหมดเอา ราวๆปี พ.ศ.2564  ก็เหลือเวลา อีกราวๆ 8  ปี นับจากวันนี้

ปี 2550 วางเคเบิ้ลใยแก้วบนเส้นทางรถไฟ BTS
ปี 2551 ได้สิทธิ์วางเคเบิ้ลใยแก้วบนเสาไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง
ปี 2553 เซ็นสัญญาให้บริการเคเบิ้ลใยแก้วกับการไฟฟ้านครหลวง 12 ปี (หมดในปี2565)
 เอ้ะ งง ...สัมปทานหมดปี 2564 แต่ทำไมให้บริการ กฟน.ได้ถึงปี 2565 น้อ แกล้งไม่รู้ดีกว่า หุหุ
ปี 2554 ได้รับใบอนุญาตให้บริการวงจรเช่าส่วนบุคคลระหว่างประเทศ  มีอายุ  15 ปี
ปี 2555 ได้ขยายพื้นที่ให้บริการในเขตเศรษฐกิจหลักในภูมิภาค เช่น เขตนิคมอุตสาหกรรมกว่า 24  แห่ง และจังหวัดหัวเมืองใหญ่ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ อุดรธานี และขอนแก่น เป็นต้น

ปี 2555 ถือว่าเป็นปีแห่งจุดเปลี่ยนเลย ที่ได้ขยายฐานลูกค้าระดับองค์กรไปแบบก้าวกระโดดนี้เอง




















สรุป SYMC ทำอะไร? แบบง่ายๆ
SYMC ทำสัมปทานวางเส้นเคเบิ้ลใยแก้ว และเก็บค่าบริการ ภายในระยะเวลา 15ปี

แล้วเคเบิ้ลใยแก้ว คืออะไร ?
เคเบิ้ลใยแก้ว คือ คล้ายๆแนวสายโทรศัพท์แต่เป็นแนวสายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงมากๆที่ส่งต่อข้อมูล
มากๆเยอะๆแบบองค์กรใหญ่ๆเค้าใช้กัน  บ้านเรือนหลังเล็กๆคงไม่จำเป็นต้องเอาอินเตอร์เน็ตเร็วแรงขนาดนั้นมาใช้

ลูกค้า ของ SYMC ก็มีหลักๆ 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก ให้บริการชั่วโมงเน็ต คือเช่าเน็ตของ SYMC แล้วไปกระจายขายต่ออีกที
เช่น  CS Loxinfo , INET , DTAC , CTH , RS , GRAMMY อะไรแบบนี้

กลุ่มที่สอง ก็เป็นองค์กรยักษ์ใหญ่ ที่ต้องใช้เน็ตแรงๆเชื่อมกัน ยกตัวอย่างมาแบบเห็นภาพๆสักอัน
ก็ เช่น พวกกลุ่มธนาคาร  กลุ่มค้าปลีก  อะไรแบบนั้น

ลูกค้าทราบแล้ว
แล้ว รายได้อ่ะ มายังไง ?
SYMC มีรายได้หลักจากการให้บริการให้เช่าวงจรสื่อสารความเร็วสูง และมีรายได้อื่นๆ เช่น รายได้จากการบริหารจัดการและบำรุงรักษาโครงข่าย












จากรูปข้างบน เราจะพบว่า รายได้หลักๆที่มาหล่อเลี้ยงกิจการมาจากการบริการด้านให้เช่าวงจร
และเป็นการให้เช่าวงจรแบบ  Metro Ethernet

ส่วนรายได้ที่เติบโต คือ  Metro Ethernet และ SDH&EOSDH











และ เมื่อเราแบ่งประเภทรายได้ ตามการใช้งาน ในปี 2555
จะพบว่า... รายได้จาก Internet Access มีมากที่สุด 47% เป็นเงิน 364 ล้านบาท
รองลงมาคือรายได้จาก Private Network  22% คิดเป็นเงิน 173 ล้านบาท

 แต่การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนั้น พระเอกอยู่ที่่ Digital Broadcast เติบโตเกือบเท่าตัวจาก
30 ล้านบาทไป 68 ล้านบาท ในเวลาเพียง 1 ปี เท่านั้น คิดเป็นการเติบโต  126% เลยทีเดียว

 ในอนาคตวงการการสื่อสาร SYMC วางตัวเองเป็น ทางด่วนของข้อมูลนะครับ
 คือการเดินทางไปจุดหมายหลักๆของข้อมูล ทางเคเบิ้ลใยแก้ว ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของข้อมูล IT
ถ้าต้องการความรวดเร็วก็จ่ายค่าเช่าแล้วเดินทางได้เลย

ข้อเสียก็คือ การเดินสายเคเบิ้ลใยแก้วนี้แม้เป็นสัมปทานหน่วยงานรัฐ
แต่ก็ไม่ได้ห้ามหน่วยงานอื่นๆ ที่ประกอบธุรกิจทางด้านนี้ เข้ามาดำเนินการนะครับ
เรียกได้ว่า เป็นสัมปทานที่ไม่ได้ผูกขาดเท่าไหร่นัก

อย่างไรก็ดี โอกาสเติบโตในอนาคตของผู้บริหารมองว่า
วงจรเช่าส่วนบุคคลระหว่างประเทศ (International Private Leased Circuit : IPLC)
อีกสักพัก1-2 ปี จะมีสัดส่วนรายได้ มากกว่า 50% ทีเดียว
คือการเอาข้อมูลอินเตอร์เน็ตจากต่างประเทศมาให้บริการในเมืองไทย
นี่เป็นดีลที่ดี ซึ่งหากมองอนาคต AEC การใช้ข้อมูลจากต่างประเทศย่อมต้องมีมากขึ้น

(ต่างประเทศนี้คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ ลาว และกัมพูชา และจะมีพม่า นะครับ ไม่ใช่พวกอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ทำนองนั้น โปรดรับทราบ ^_^ )



IPLC คืออะไร  IPLC เป็นบริการวงจรเช่าสำหรับลูกค้าองค์กรทั่วไป อาทิ ธนาคาร โรงงานอุตสาหกรรม บริษัทข้ามชาติ ที่มีความต้องการต่อเชื่อมระบบข้อมูลจากสำนักงานในประเทศไทย ไปยังสำนักงานที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ

และในทางกลับกันใช้สำหรับองค์กรทั่วไปในต่างประเทศที่ต้องการต่อเชื่อมมายังสำนักงานในประเทศไทย

เป็นบริการวงจรเช่าสำหรับบริษัทผู้ให้บริการโทรคมนาคมอื่นใช้เป็นโครงข่ายหลัก (Backbone) ต่อเชื่อมไปยังสถานีของผู้ให้บริการวงจรสื่อสารระหว่างประเทศในประเทศต่างๆ



จากรูปข้างบนนะครับ เดิมที Symc เช่าพื้นที่บางส่วนจากการไฟฟ้านะครับ พอธุรกิจโต ลูกค้าโต
Symc ก็เช่ามากขึ้นๆ ทำให้สัดส่วนรายได้เกิดการคงที่ครับ พอถึงจุดๆหนึ่งที่การลงทุนเอง
จะเริ่มคุ้มกว่าเช่า Symc ก็เริ่มเดินหมากเกมส์นี้กันไปแล้ว

ในภาพจะแสดงให้เห็นว่า งบลงทุน  6-7 ร้อยล้านบาทของ SYMC นั้น ทำอะไร ?
จะเปลี่ยนแนวเชื่อมโยงข้อมูล จากสีส้มที่เช่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิต
ให้เป็นแนวสีเขียว  สีเขียวคือของบริษัทเป็นเจ้าของเอง แต่เดิมกระจุกอยู่แค่เมืองหลวง



ผมให้ผู้บริหารของ Symc มีกึ๋นในระดับที่ดี ไม่เดินหมากมั่วซั่ว แต่เดินแบบมีชั้นเชิงและกลยุทธ์
การสร้างบริษัทนี้เองมากับมือ ตั้งแต่ปี 2547 คงไม่ใช่เรื่องฟลุ้ค จะไม่เชื่อฝีมือคงไม่ได้
เกียรตินิยมอันดับ2 วิศวะไฟฟ้า ม.เกษตร คงยืนยันได้เป็นอย่างดี
ผนวกกับประสบการณ์กว่า 25 ปี คงพอที่จะเป็นกัปตันเรือที่ดี ไม่ธรรมดา
ส่วนในเรื่องคุณธรรม จริยธรรมนั้นก็ผ่าน เป็นคนรักครอบครัวและสร้างองค์กรให้เป็นองค์กรแห่ง
ความสุข แถมยังเน้นเรื่องการสร้างทีม



ข้อสังเกตอื่นๆ

1. การเติบโตของกลุ่มลูกค้าองค์กร จะช้ากว่า กลุ่มประชาชน ทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
    หากใครใจร้อน อยากรวยเร็วไม่แนะนำ แต่ใครชอบรวยช้าๆรวยนานๆก็ลองดูได้ครับ

2. รายได้จากการขายมาเป็นเงินก้อนใหญ่ จากลูกค้าองค์กร ค่าใช้จ่ายในการดูแลลูกค้าจะไม่มาก
   เท่ากับ ลูกค้ารายย่อยจ่ายเดือนละ 500 บาทแต่มีล้านคน สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการดูแลลูกค้า
   จะต่างกันเยอะ

3. มูลค่าบริษัทที่ 5000 ล้านบาท ถือว่าถูกมากๆ กับสิ่งที่จะทำในอนาคตและรายได้กับกำไร
   ที่รับอยู่ปัจจุบัน  ปีหนึ่งๆก็ เกือบ 1 พันล้านบาทแล้ว

4. กำลังพัฒนา ซอฟท์แวร์ด้านการถ่ายทอดภาพและเสียง(ทีวี) ผ่านทางอุปกรณ์ แท็บเล็ต มือถือ
    ไอโฟน (IPTV : Internet Protocal Television) ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะสำเร็จหรือไม่ มีรายได้อย่างไร
    จากใคร เดาว่า CTH ,RS แต่ถ้าหากสำเร็จ ขึ้นมาก็น่ากลัวจะวิ่งไปไกล

5. บริษัทลงทุนเยอะกว่าปีที่ผ่านๆมาอย่างน่ากลัว แสดงให้เห็นถึงโอกาสอะไรบางอย่างที่คุ้มค่าจึงลงทุนเพิ่ม จากเดิมไม่ค่อยลงทุนอะไรมาก


6. บริษัทเลือกที่่จะเป็นพันธมิตรกับคู่แข่งทุกคน เพื่อมีความสัมพันธ์อันดี ไม่แก่งแย่งลูกค้ากันเอง
    อันจะมีผลต่อสงครามราคา(Price WAR) ในอนาคต ตามหลักการรบ ไม่ฆ่ากันเองดั่งบางธุรกิจ
    ที่สุดท้ายก็เจ็บกันหมด

















บริษัทเติบโตแบบพอเพียง จึงมีอัตราหนี้สินต่อทุนที่ต่ำมาก จึงไม่น่าหวั่นไหวกับลมพายุ
ฟ้าฝนในตลาดหลักทรัพย์เท่าใดนัก ด้วยจำนวนหุ้นเพียง 300 ล้านหุ้นเท่านั้น
ROA และ ROE อยู่ในระดับที่น่าประทับใจ  15 % ++

กำไรสุทธิยิ่งน่าประทับใจกว่า ที่ 28.6 % แม้อนาคตจะลดลงแต่กำไรจะเพิ่มขึ้นตามขนาดมูลค่าตลาด
เช่น อัตรากำไรสุทธิเหลือ 25% ของรายได้ 1000 ล้าน ก็จะกำไร 250 ล้านบาท สูงกว่า 234 ล้านบาท
( 28.6% ของเงิน 819.57 ล้านบาท)

สรุป

ในช่วงปีถึงสองปีนี้ Symc อาจจะไม่โดดเด่นนักในเรื่องของกำไร
เพราะว่าบริษัทมีการขยายตัวในการลงทุน (จากเดิมที่เช่าบ้านเค้าเป็นสร้างบ้านอยู่เอง)
แต่เมื่อมองสิ่งที่ลงทุน ถือว่าอนาคตจะสร้างรายได้ให้อีกมากมาย นับว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว
(เปรียบเหมือนมีบ้านเป็นของตัวเองยังแบ่งห้องพักเก็บค่าเช่าและค้าขายหารายได้อีก)

แต่อีก 2-3 ปี เมื่อการลงทุนเสร็จเม็ดเงินก็คาดว่าจะไหลมาอย่างสบายใจ

หากใครไม่รีบ มองหาบริษัทที่ดี ที่น่าฝากฝังเงินลงทุนด้วย ในธุรกิจที่มีโอกาสแห่งการเติบโตสูง
ในกลุ่ม ICT ละก็ คงจะมองข้ามหุ้นตัวนี้ไปไม่ได้

ในช่วงหนึ่งปีถึงสองสามปีนี้ Symc กำไรอาจจะยังไม่เติบโตโดดเด่นมาก
อาจจะเห็นการเติบโตเพียง 5-10%เท่านั้น
และก็มีหลายบริษัทที่ดำเนินธุรกิจคล้ายๆกันอยู่ อย่าง JASTEL ที่เป็นบริษัทลูกของ JAS
ถึงแม้จะมีคู่แข่งแต่อุสาหกรรมกลุ่ม  ICT ยังมีตลาดที่จะเติบโตไปได้อีกมาก










1 ความคิดเห็น: